[Tutorial] การเขียนโปรแกรม Timer แบบ WPF/MVVM ฉบับมือใหม่เพิ่งหัดเขียน
ก่อนอื่นเรามาอธิบายความหมายมันก่อน ว่าคือสิ่งใด
WPF หรือ Windows Presentation Foundation เป็นแนวคิดการพัฒนาโปรแกรมที่ทำให้โปรแกรมของเรานั้น มีหน้าตา หรือ User Interface (UI) สวยงามขึ้น ใช้เทคโนโลยีของ .NET Framework โดยรองรับการเขียนโปรแกรมหลายแบบ เช่น MVVM
MVVM หรือ Model-View-View-model คือการแยกส่วนการของ function และ user interface ให้เป็นอิสระต่อกัน โดยใช้ data binding เป็นตัวเชื่อม มีส่วนประกอยคือ model, view และ view-model ซึ่งการเขียนแบบนี้จะเป็นการลดเวลาเขียนโปรแกรมภายในทีม ลดความยุ่งยากและซับซ้อนลง อีกทั้งแก้ไข้ได้ง่ายอีกด้วย
จุดต่างระหว่าง MVP และ MVVM
ปกติเราจะเขียนโปรแกรมแบบ MVP กันใช่เปล่า สมมุติเราเขียนโค้ดอันนี้ มีปุ่มสองอัน text สักอันนึงแสดงผล เวลาเราเขียนปุ่ม เราต้องบอกว่าปุ่มนี้ทำงานนี้นะ ถ้ามีอีกปุ่มทำงานเหมือนกันหล่ะ ก็ก็อปไปสิ ถ้าไม่ใช่เราก็ลบโค้ดทิ้ง หรือ comment out ถ้าหน้าตาเปลี่ยน บางทีโค้ดอาจจะต้องเปลี่ยนอีก เวลาแก้งานของคนในทีม จะเกิดความลำบาก เพราะต้องอ่านโค้ดให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยมานั่งแก้ ใช้เวลามากกว่าจะเสร็จ ซึ่ง MVVM แยกการเขียน function กับ UI ออกจากกัน ดังนั้น developer กับ programmer อาจจะไม่ต้องมานั่งตบตีกัน แต่ละคนทำงานของตัวเองไป แล้วค่อยเอามารวมกันโดยการ binding อาจจะใช้เวลาในการ training แต่ไม่ต้องเสียเวลาแก้งานมากเกินไป
ในที่นี่ จะอธิบายการเขียนโปรแกรมจับเวลา โดยใช้หลักการของ MVVMมี feature คือ กด start เพื่อเริ่มต้นจับเวลา pause เพื่อหยุดการจับเวลา restart ล้างค่าเดิมและเริ่มต้นจับเวลาใหม่ และ stop คือหยุดจับเวลาและล้างค่าเดิมทิ้ง
วิธีการสร้าง project
เราใช้โปรแกรม Visual Studio 2013 ในการเขียนโปรแกรม
- ไปที่ menubar เลือก File -> New -> Project
- เลือก Templates -> Visual C# -> WPF Application
- ใส่ชื่อ project ที่ Name
ในโปรเจกจะมีแค่ไฟล์ view คือ MainWindows.xaml เท่านั้น เราจะต้อง add .cs เข้าไปเพิ่ม โดยคลิกขวาที่โปรเจก เลือก Add -> Class
เรามาอธิบายแต่ละส่วนของ MVVM ว่ามีอะไรบ้าง ทำงานอย่างไร
(1) model : เป็น class ที่กำหนด object ทั้งหมดที่ใช้ในโปรแกรมนี้ (.cs) มีทั้งหมด 2 ส่วน คือ
#region Members
: ประกาศตัวแปรที่ใช้ในนี้#region Properties
: สร้าง class รับส่งค่า โดย get คือ คืนค่าออกไป และ set คือ กำหนดค่าของตัวแปรที่เราสร้าง
(2) view-model : เป็นตัวกลางระหว่างส่วน view และ model เราเขียนการทำงานของโปรแกรม และนำไป binding ใน view สามารถมีได้มากกว่า 1 ไฟล์ (.cs) สืบทอด class จาก INotifyPropertyChanged ทำให้ส่วนทีมีการ binding เปลี่ยนค่า มีทั้งหมด 4+2 ส่วน นั่นคือ 6 ส่วนนั่นเอง ทำไมถึงเป็น 4+2 ส่วนหล่ะ
ครึ่งแรกเป็นส่วนที่เราสร้างขึ้นเพื่อใช้งานในโปรแกรมของเรา
#region Members
: ประกาศ object class และตัวแปรที่ใช้
เราประกาศclass timer
เพื่อสร้าง object Timer ที่เราสร้างจากในส่วน model และตัวแปรtime_cnt
เพื่อนับรอบของticker
และaTimer
เพื่อสร้าง Timer โดยให้รอบนึงนาน 500 ms หรือครึ่งวินาที#region Properties
: มีสองส่วนคือ class รับส่งค่าของ object class และ class ที่รับส่งค่าของตัวแปรอื่น โดยจะอ้างอิงตัวแปรจาก model class ในส่วนของ set เราสามารถเขียนแบบไหนก็ได้ โดยทั่วไปจะเขียนแบบในรูปนี้ มีการใช้คำสั่งRaisePropertyChanged
เพื่อ set ค่าเบื้องต้นใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับส่วนครึ่งหลัง
#region Constructors
: กำหนดค่าเบื้องต้นให้กับที่เราประกาศ object โดยสร้าง function ชื่อเดียวกับ class หลัก
เรา set ค่าเบื้องต้นของ timer โดยให้setTimer
เท่ากับ"0"
(เริ่มต้นที่ 0) และaTimer
เราสร้างElapsedEventHandler
ขึ้นมา มีการทำงานคือ ถ้าครบ 1 รอบ ตามเวลาที่เราตั้งไว้ จะทำให้ทำคำสั่งนี้นะ ในที่นี้จะให้นับจำนวนรอบที่ทำงาน และเก็บค่านี้ที่setTimer
ส่วนนี้เราสามารถเขียน function แยกและมาเรียกใช้ในOnTimedEvent
ได้ แล้วแต่ถนัด
#region Commands
: ส่วนคำสั่งที่เราจะใช้ในโปรแกรมของเรา ซึ่งเอาชื่อของคำสั่งมา blinding กับส่วน view โดยมีหลักการเขียน คือ
1) เขียน function void <command_name>Execute()
เพื่อใส่คำสั่งตามที่เราต้องกา
2) เขียน function bool Can<command_name>Execute()
ใส่ข้างในว่า return true;
เราไม่ต้องทำอะไรกับ function นี้ก็ได้
3) สร้าง command โดยใส่ดังนี้
using System.Windows.Input;
public ICommand <command_name> {
get {
return new RelayCommand (
<command_name>Execute,
Can<command_name>Execute);
}
}
}
ตัว RelayCommand
เราสามารถ copy ไปใส่ได้เลย เป็นอีก class นึงในโปรเจก อย่าลืมใส่ using System.Windows.Input;
ด้วยนะ ไม่งั้นจะไม่รู้จัก ICommand
ของเรา
4) เอา <command_name>
ไปใส่ในส่วน view ใน tag ที่เราต้องการ
Command = { Binding <command_name> }
การดึง Timer มาใช้งาน aTimer.Start();
เริ่มต้นจับเวลา โดยจะ set enable เป็น true ให้เลย aTimer.Stop();
หยุดจับเวลา โดยจะ set enable เป็น false ให้เลย แต่จะไม่ reset ค่า เมื่อกด start มันจะนับต่อ ถ้าจะ reset ใหม่ เราต้อง set ค่า time_cnt
ให้เป็น 0 เพื่อเริ่มนับรอบใหม่ aTimer.Dispose();
เป็นการล้าง aTimer ของเราทิ้ง ซึ่งไม่เหมาะกับโปรแกรมนี้ เพราะถ้าเรากด start มันจะทำงานไม่ได้ เพราะ aTimer
มันโดนลบทิ้งไปแล้ว
ครึ่งหลังเป็น INotifyPropertyChange
เหมือนเป็นการดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใน component หรือไม่ ซึ่งเราสามารถ copy ไปใช้ในงานของเราได้เลย
#region INotifyPropertyChanged Members
: ประกาศตัวแปรPropertyChangedEventHandler
ใช้ในfunction RaisePropertyChanged
#region Methods : function RaisePropertyChanged
ถ้า handler ไม่เท่ากับ null ให้สร้าง instance ใหม่ ในครึ่งหลังนี้ เราอาจจะเขียนเป็น class แยกออกมาก็ได้ แต่ตัว view-model หลักของเรา ต้องสืบทอดจาก class ใหม่ที่เราสร้าง แทนINotifyPropertyChanged
เพราะในอันใหม่นี้ เราได้สืบทอดINotifyPropertyChanged
ไปแล้ว ดังนี้
(3) view : เป็นส่วนของ user interface โดยจะทำการ blinding function และ variable ที่นี่ (.xaml)
ในขั้นแรก ใส่ xmlns:local="clr-namespace:<namespace>"
ใน <Window>
ในที่นี้ namespace คือ Timer ดังนั้นใส่ xmlns:local="clr-namespace:Timer"
ต่อมา เพิ่มโค้ดส่วน Windows:DataContext
ไว้ก่อน layout ซึ่ง local จะไปเรียกส่วน view-model ไม่งั้นส่วนที่เรา binding จะไม่ทำงาน
ในส่วนการ binding เราจะแบ่งเป็นสองแบบ โดยจะนำจาก view-model มาใส่
แบบแรก : ในส่วนการแสดงผล ขึ้นอยู่กับแต่ละตัว เช่น Label TextBox TextBlock ใส่ชื่อ class ที่เราสร้าง Content/Text = { Binding <object> }
ในที่นี้ เราจะแสดงจำนวนรอบที่จับเวลา จึงใส่ setTimer
แบบสอง : ในส่วนการทำงาน เช่น Button MenuItem เราใส่ชื่อคำสั่งที่ทำขึ้นมา Command = { Binding <command_name> }
เว็บไชต์อ้างอิง ประกอบการเขียน
- ตัวอย่างการเขียน WPF/MVVM เบื้องต้น
- การเขียน WPF/MVVM จากไมโครซอฟต์
https://msdn.microsoft.com/en-us/library/hh848246.aspx
- การใช้ library Timer
ตัวอย่างโค้ดนี้มีให้ไปศึกษาการทำงานแบบ MVVM และ Timer
การศึกษาให้เข้าใจ นอกจากจะอ่านแล้ว ต้องลงมือทำด้วยนะ :)