สาวสายเทคพูดอะไรกันในงาน Technologista: International Women’s Day Bangkok 2025
งานที่มีแต่ speaker สาวสายเทคเต็ม 100% ในเดือน International Women’s Day เป็นงานที่ Women Techmakers Bangkok และ PyLadies Bangkok จัดร่วมกันเมื่อวันเสาร์ช่วงบ่ายของวันที่ 22 มีนาคม ที่ Cleverse

มาถึงมีของที่ระลึก มีกระจกแบบนี้ ระหว่างนั้นเจอน้องอัฐ มากับ speaker คุณแอมด้วย

และแล้วใกล้เวลาเปิดงาน มี MC คุณสกายมาทักทายทุกคน พร้อมเล่าถึงบทบาทสำคัญของผู้หญิงในสายงานเทค ในงานมีเปิด lighting talk คนละ 5 นาที 4 คน ตอนท้ายมี feedback form พร้อม lucky draw

จากนั้นเปิดงานโดยคุณมิว Women Techmakers Bangkok มีการขอบคุณ sponsor และ media partner กันก่อน รวมถึงสถานที่อย่าง Cleverse

งานนี้จัดขึ้นเพื่ออยากบิ้ว woman in tech ให้เกิดขึ้น เปิดรับ partner, event idea และ speaker สำหรับงานรอบต่อ ๆ ไปด้วย
มีผู้หญิง 29% ที่ทำงานสาย STEM (science, technology, engineering and mathematics) และมีเพิ่มขึ้นทุกปี
stackoverflow global survey ในปี 2022 พบว่ามีผู้หญิงเพียง 5.17% ที่ตอบ survey นี้ และในจำนานนี้ 22% เป็นสาว software engineer ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา

แล้วทำไมผู้หญิงน้อยจัง เพราะมี 6 barrier ด้วยกัน มีทั้งเรื่องของการศึกษา, talent, บุคคลากร และ role model
role model สำคัญยังไง เพราะทำให้คนเห็นตัวอย่างคนประสบความสำเร็จในสายงานนี้ การที่อายุใกล้กันทำให้มัน relate กับเรามากกว่า และทำสิ่งนี้ได้ยังไง ให้ทุกคนเห็นภาพนี้ขึ้นมา จึงเป็นจุดประสงค์ที่เกิดงานนี้
งานวันนี้เป็น area ที่ให้ทุกคนมา join กันได้ พยายามเพิ่มผู้หญิงให้มางานเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งมีรูปรวมปีที่แล้วให้ดู เอ๊ะเจอคนคุ้น ๆ หลายคนเลย และมีสถิติเพิ่ม engagement ของสาว ๆ ในงานของ GDG events เพิ่มขึ้น (งาน Android Bangkok Conference 2024 speaker ผู้หญิง 50% อ่ะแกร ทำได้ไง)


ต่อมาคุณกะตั๊ก PyLadies Bangkok มากล่าวต่อ Pyladies เกิดจาก python + ladies เน้นผลักดันให้ปผู้หญิงเข้ามาใน open sources ซึ่ง community เขามีทั่วโลกเลย รวมถึงในไทยด้วย

มีจุดประสงค์ คือ encorage ให้คนเข้ามาใน community มากขึ้น และเริ่ม adopt ไปใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้นแล้ว
mission คือดึงผู้หญิง หรือคนเขียน python หรือเขียน code ด้วยกัน มีหลากหลายกิจกรรม เช่น evnt, workshop, conference ซึ่งช่วงโควิด ปี 2021 มี PyLadies International Women's Day โดยมีของคนไทยด้วยน้า

ซึ่งแปะไว้แล้วข้างล่างนี้ มีของเราด้วย แหะ ๆ
และสำหรับ meetup อาจจะมีในงาน PyCon นะ

Breaking Things on Purpose: The Power of Error Budgets – Anne Siroratt
เราไม่เคลมว่าไม่ล่ม 100% เพราะเผื่อ error budget ไว้ 0.01%

downtime เท่าไหร่ที่เรารับได้?
fun fact บริษัทไอทีชั้นนำของโลกไม่กล้า commit 100% แต่เขาจะใช้ 99.99%

The Speed Limit City
speed limit? อันไหนเร็วกว่า ระหว่าง no limit หรือ 10 kmph คำตอบคือ ไม่ว่าจะแบบไหน ก็ช้าอยู่ดี แถมไม่การันตีเรื่องอุบัติเหตุ แล้วถ้าเป็นการส่งมอบ software ล่ะ? เช่นไม่เชื่อในคน เชื่อในระบบ

เป็นไปได้ไหม ถ้า fine tune speed ได้ มี rule of failure หรือ error budget ที่เหมาะสม
Error budgets
ทีมมี 2 mode คือ feature ส่งของ และ firefight ดับไฟ แล้วแบบไหน win สรุปคือไม่เริ่ด แล้วทางอื่นล่ะ?
แล้วจะ balance ยังไง
- ถ้า error budget ให้เยอะ ของออกเร็ว แต่ระบบ down บ่อย
- ในทางกลับกัน ถ้าให้ error budget น้อย ของออกช้า ระบบจึง down น้อย
ในบาง product ในบาง feature ถ้า down บางครั้งถึงแก่ชีวิต เช่นการแพทย์ ถ้าเป็น finance หรือ banking แล้วแต่ feature ถ้าสะสมแต้มอาจจะช้าหน่อยก็ได้ ถ้าจ่ายเงิน หรือเทรดหุ้น เทรดคริปโต ต้องเร็ว ทั้งหมดขึ้นกับ product persona

product downtime ได้เท่าไหร่

หา decision maker: standard เส้นม่วง fair enough ว่าช่วยแก้บัคก่อนปล่อย feature ดังนั้นหาตัวเองให้เจอว่าจุดไหนบอกทีมว่าหยุดส่ง feature ให้แก้บัคก่อน

เกณฑ์ที่ check: 99.99% + 0.01% error budget ถ้าเกิน 100% ที่ตั้งไว้ เตือนทีมได้

lead หลายคนมองว่า change หรือ time to restore service ไม่สำคัญ เพราะมองว่าเป็นงานของคนอื่น แต่จริง ๆ ต้องไปด้วยกัน
ทำไมไม่ 100% ล่ะ? ในมุมของ user มองว่าไม่ต่าง แล้วเสียเวลาทำไปทำไม!

Lesson Learn


- multiple key milestone สำคัญ และวัดผลได้
- เมื่อทฤษฎีกับตอนทำ มัน confilct กัน ซึ่งทฤษฎีจบไม่สวย แต่ตอนทำชนะเสมอ
- ระบบพร้อมใช้ และ dimension อื่น ๆ เอาไปทำ error budget ได้
- who want to change และเกิด change ลงแรงไปด้วยกัน
- ถ้าทำไม่ได้ จะให้อะไรกับลูกค้า เป็น service level agreement (SLA) เช่น คืนเงินค่าธรรมเนียม อะไรงี้
- มี ownership และ commitment หรือสัญญา ทีมยุ่งไปเกิด change failure ได้ fix pain point ให้ speed ดีขึ้น
- ราคาที่ต้องจ่ายในทุก ๆ วัน
แนะนำหนังสือ

Breaking the Limits: Performance Testing for Scale – Thanyamon Nisamaneewong
performance test คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ ผลจากการเทสนี้เอาไปปรับอะไรได้บ้าง

มั่นใจได้ยังไง ว่าระบบของเราไม่ down ทำ performance test สิ เช่นในแอพเป๋าตังค์ สามารถซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล มีการโปรโมตผ่านสื่อชั้นนำ ทำให้คนเข้ามาเยอะ มี traffic เยอะ ถ้าเรา handle ไม่ดี เกิดอะไรขึ้น โดนลูกค้าด่าพร้อมติด hashtag

คุณแอมมองว่า performance test ไม่ใช่แค่การเทส แต่เป็นกลยุทธ์ด้วย ระบบดราทำดีได้แค่ไหนนะ ใช้ NFPs (Non-Functional Requirement) ดูว่าระบบรองรับได้เท่าไหร่ เป็นการช่วยกำหนด ออกแบบ ทดสอบ ควบคุม ซึ่งมันก็เป็นกลยุทธ์ของธุรกิจ ระบบต้องรองรับให้ได้


แล้วเริ่ม focus จากอะไร?
- peak users: business คิดว่าคนเข้ามาจำนานเท่าไหร่
- peak period: ระบบของเรามีระยะเวลาที่คนเข้ามาใช้มากสุด เป็นเวลาไหนบ้าง
expected TPS มาจาก peak users หารด้วย peak period (seconds) ใช้ในประเมินสถานการณ์ ดูว่าระบบเรารองรับ transaction เท่าไหร่ เป็นกี่ TPS (Transaction per Second) เป็นอย่างตํ่า ให้ระบบยังเสถียรอยู่
NFRs Key:
- Feature Usage Ratio: ประเมิน traffic ในแต่ละจุด ว่าตรงไหนที่คนใช้เยอะ
- Spike rate: คำขอที่เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน
- Response time: คนรอได้นานแค่ไหน
- Data Size: ขนาดของ data ที่เกิดขึ้นจริง
- Infrastructure Constraints: ข้อจำกัดการ scaling บน cloud ดังนั้นจะ test เพื่อตอบคำถามนี้ให้ได้
strategy เช่น ตรวจสอบ gateway ว่ารองรับ traffic ได้จริงไหม แต่ละจุดทดสอบ ไม่สามารถทดสอบในเงื่อนไขเดียวกันได้ เพราะมันมีหลายปัจจัยที่ส่งผล

การทำ Performance Test มีหลายแบบ เช่น
- Load test: ให้ได้ผลตามต้องการ embedded result กับ visual user
- Stress test: ดูจุดที่ระบบล้มเหลวที่จุดไหน และมีการกู้คืนกลับมาไหม เกิดอะไรขึ้นใน service บ้าง เพื่อดูว่าระบบเราเกิดอะไร
- Soak Test: ใน 5 นาที ได้ embedded ที่โอเคแล้ว ถ้านานกว่านั้นล่ะ? เช่น คืน memory กลับคืนไปไม่มากพอ
- Volumn test: มีข้อมูลทื่เกิดขึ้นจริงบน production ล้าน record แต่ test ไม่ก็ record จะไม่ expect กับการขึ้น production จริง
- Spike test: เริ่มจาก user พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น ระบบเรารองรับได้ไหม เช่น ซื้อบัตรคอนเสิร์ต
หลังจากทำ Performance Test ก็ทำ End-to-end Test ด้วย รวมทุกอย่างมา test ใหม่ เพื่อ make sure ว่าของขึ้น production แล้วระบบของเราทำงานได้จนจบ และถ้ามีเวลา อยากให้ test ทุกประเภทก่อนขึ้น production

Investigate system และ scale
bottlenecks ใส่ user ไปแล้วยังไม่ไปไหน มีคอขวดอะไรบ้าง เช่น

- เข้าไปดู resource use ก่อน เช่น encryption data ลูกค้าก่อนเก็บ แล้วใช้ CPU เยอะ ดูว่าทำงานอะไรผิดพลาด, config 2 limit
- memory leak ทำงานแล้วไม่ดันของกลับไป
- database ดู query insight ว่าอันไหนไม่น่าถูกต้อง หรือใช้กราฟมากเกินไป การใส่ index เยอะอาจจะทำให้การ query ช้าได้
- network performance: หาทุกอันไม่เจอ ไม่มีอะไรเพิ่ม เคยไปเจอว่า bandwidth เต็ม เลยรับ request เพิ่มไม่ได้
เริ่ม scale ได้ เป็นเรื่องง่ายในยุคนี้ที่มีทั้ง cloud และ docker ทำให้เราสามารถประเมินสถานการณ์เป็นช่วง ๆ ไป และถ้าไม่มี test result ที่ครอบคลุม และ scale ไม่ถูกจุด ก็จะไม่สามารถ scale ให้ตรงจุดได้
Scalability
แล้วเลือก scale แบบไหน ขึ้นอยู่กับ business และ system

- Vertical Scaling (Scaling up): เพิ่ม RAM และ CPU แต่เพิ่มในระดับนึงจะตัน
- Horizontal Scaling (Scaling out): พวก Microservices ต่าง ๆ
ทำแล้วอย่าลืม scale down ลงมาด้วย เพราะมีผลต่อรายจ่าย ซึ่งจะลงมาเมื่อไหร่ก็พิจารณาจาก test อีกเช่นกัน
การ monitor ช่วยบอกเราได้ว่าเป็นไปตามสถานการณ์ที่เราวางไว้ไหม รู้ insight ของระบบ และวางแผนกันใหม่ ให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
สรุป
Performance Testing ไม่ใช่แค่การ test แต่เป็น strategy ในการสร้างระบบที่ scale ได้ มีความยืนหยุ่น และพร้อมสำหรับทุก ๆ สิ่ง

From Data to Decisions [MAKE by KBank] – Kultida Wanasukaphun
นำ data ที่ได้เอามาปรับใช้ยังไงในการพัฒนา product และรวมถึงเรื่อง marketing ด้วย

ทำไม data ถึงสำคัญในการพัฒนา product เพราะเพื่อให้เข้าใจลูกค้าจริง ๆ และทำ product เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
application cycle life ก่อนที่คุณเทรซี่จะมาทำจะต้องรู้เรื่อง business ก่อน ซึ่งตอนนี้ MAKE อยู่ในช่วง growth

Launch
เป็น stage แรก ต้องการ user เข้ามา และให้เขา uplift เพื่อเปิดบัญชีสำเร็จ
3 key feature ใน MAKE by KBank จะมี Cloud Pocket, Pop Pay, Chat Banking ทีมขาย 3 feature นี้ไปพร้อม ๆ กัน มี data ช่วย tracking ว่า user adopt กับ feature ไหนมากที่สุด และเอามายิง ads ให้คนเข้ามาใช้ feature Cloud Pocket เพื่อให้คนเห็นมากขึ้น เข้าใจ และมาใช้เพิ่มขึ้น

media A/B Testing ยิง ads ในที่ต่าง ๆ กับ marketing team แล้วอันไหน conversion ดีกว่า และลูกค้าเข้ามามากกว่า เลยลองเปลี่ยนเป็นน้องเมฆ แล้วยิงหาลูกค้า ได้ high conversion ให้เห็นว่าเป็นแอพ และมีความน่ารักด้วย ทำให้ปรับ creative uplift ได้ 2.5 เท่า

Growth
ทำยังไงให้คนชอบแอพเรา ใช้บ่อยขึ้น และเปลี่ยนมาใช้เป็นแอพหลัก


- 30% share cloud ร่วมกันคนอื่น ทำให้เก็บเงินได้มากกว่า 60% และการเก็บเงินร่วมทำให้มีแรงจูงใจในการเก็บเงินมากขึ้นไหม
- การเก็บเงินกลุ่มมีหลายจุดประสงค์ เช่น เก็บเงินห้อง เงินกลุ่ม, เก็บเงินแต่งงาน, ซื้อของร่วมกัน
- share cloud น่าสนใจ ให้คนเปิดอันนี้มากขึ้น + use case
- ทำกราฟฟิก ชูให้คนเก็บเงินร่วมกัน และเอา data มาสรุป
- มีล็อกกุญแจกับ "เก็บเงินห้ามใช้" ซึ่งคน unlock หลังจากใช้ได้แค่หนึ่งวันอะไรงี้ (อันนี้น้องอัฐอธิบายมุขให้ฟัง)
data ทำให้เห็น pattern การใช้เงินของลูกค้า

- short-term เช่น ซื้อโทรศัพท์ ดาวน์บ้าน
- เก็บเงินรายวัน รายอาทิตย์ หรือรายเดือน
- 150k user มี credit card
เก็บ feedback เหล่านี้ออกเป็น feature ใหม่ มีแปะรูปได้ด้วย เป็นแรงบันดาลใจ เช่นแปะรูปศิลปิน เก็บเงินซื้อบัตรคอนเสิร์ต ให้ลูกค้าสนุกกับการออมเงิน เช่นมีให้ขูดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ
ขุดเอา insight ให้เห็นทิศทางของ product ที่ตอบโจทย์ลูกค้าจริงๆ
ส่วนในเรื่อง privacy และ governance อันนี้ compile ตามธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว
ตอนพักเบรก มีนํ้า มีขนม และได้ทักทายคนนึงที่มางานปีที่แล้ว และปีนี้ได้มาด้วย 5555 นั่นคือ kensang ผู้เคยอยู่หมู่บ้านเดียวกันมาก่อน
จากนั้นไปเล่นกิจกรรมแจกของสุดน่ารักของ CJ More เขาให้กด Like เพจ CJ More Career และหมุนวงล้อ ถ้าได้ emoji จะได้ปากกา แต่ของเราได้ศูนย์กระจายสินค้า แล้วของน่าเลือกไปหมด เลยเลือกแผ่นรองเมาส์


ระหว่างนั้นมี submit Lightning Talk ซึ่งจะได้พูดคนละ 5 นาที มี 4 คน ทางนี้ไม่ได้จดมา แต่ถ่ายรูปมานิดหน่อย




How to Start as a Tech Content Creator – Monthira Chayabanjonglerd
พูดถึงการเริ่มต้นการเป็น content creator ในสายเดฟ ว่ามือใหม่ควรเริ่มยังไงดี

ก่อนอื่นขอบคุณรูปตอนพูดจากน้องอัฐ และทีมงานด้วยค้าบ พูดเองถ่ายรูปเองไม่ได้ แต่สรุปที่พูดเองได้นะ 😂
session นี้เริ่มจากที่หลาย ๆ คนอยากลองเป็น content creator สายเดฟนี่แหละ (แต่ชื่อ session ใช้คำว่า tech เพื่อให้เห็นภาพ) แล้วเราต้องเรียนรู้เอาเอง การไปเรียนค่าย iCreator Camp ต้องมียอด follow ครบ 1,000 ก่อน แต่การจะไปถึงตรงนั้นก็ต้องสร้าง content อย่างสมํ่าเสมอก่อนเนอะ ซึ่งนำประสบการณ์ประมาณ 10 กว่าปี การเรียนรู้จากค่ายต่าง ๆ และจากผู้มีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังเนอะ
ก่อนอื่นเลยเราเริ่มจากเขียนบล็อก มาแชร์ตามกลุ่มต่าง ๆ จนคนเริ่มรู้จัก พอมาช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเห็นเพจอื่นที่มีเว็บเหมือนเรา เขาทำ photo album บน Facebook แล้ว engagement ดีเลยทำบ้าง55555 และมายุคที่มาใช้ Twitter เพราะเข้ามาในวงการ web3 จึงใช้ช่องทางนั้นในการ connect คน และเริ่มสรุปเนื้อหากึ่ง realt-time ลงใน Twitter เลยกลายเป็นหน้าห้องโดยปริยาย555

ปัจจุบันก็มีหลาย platform และมี content หลายแบบ นอกจาก 3 แบบนั้น ยังมีตัว 1 photo summary, text, video เน้น short-form และไปยังที่ใหม่ ๆ อย่าง TikTok, Lemon8 และ Nostr อีกด้วย
แล้วอย่างงี้มือใหม่จะเริ่มยังไงดีล่ะ?
Personal branding
แปลไทยแบบตรงไปตรงมา คือ แบรนด์บุคคล เอ่ออ งั้นถ้าอธิบายตาม SMCR ที่อาจารย์ผึ้ง คณะนิเทศ จุฬา ได้สอนไว้ในค่าย iCreator Camp คือ

- Sender ตัวเราเอง
- Message + Channel เราจะสื่อสารส่งข้อความอะไร ไปยังที่ไหน เช่น เราเขียนโพสบน Facebook, ทำ video บน TikTok, เขียนบล็อกบน website
- Receiver ทุกคนเห็นสิ่งที่เราสื่อสารไป และ feedback กลับมาเป็น engagement แล้ววนกลับมาหาเรา
ต่อมารู้จักตัวตนของเราก่อน ว่าเราเป็นใคร อยากให้คนจำเราในเรื่องอะไร และเราถนัดอะไร เช่น เราเป็น Android Developer อยากให้คนจำเราเป็น Android Developer ที่สรุป event และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ คิดว่าถนัดเขียนโค้ดและ research และสื่อสารด้วยการเขียน
และใช้ brand CI เพื่อให้คนจำได้ว่า content นี้มาจากเรานะ ก่อนอื่นทำสิ่งที่ยากที่สุดก่อน คือ การตั้งชื่อ แล้วทำสิ่งที่ยากรองลงมา คือ logo, สี, font ส่วน mascot จะมีหรือไม่มีก็ได้

Media & Platform
ยุคนี้นอกจากเป็นยุค AI ยังเป็นยุค TikTok ดังนั้นคนจะได้ยิน short-form video แล้วมันต่างจาก long-form video ยังไง แน่นอนไม่ใช่คลิปแนวนอนแนวตั้ง แต่เป็นความยาวในคลิป ซึ่งแต่ละ platform มีไม่เหมือนกัน ปัจจุบันสั้นสุด 3 นาทีแล้วนะ สำหรับบ้าน Meta และ YouTube Short ส่วน TikTok ปกติได้ 10 นาที
นอกจากความยาวคือการเล่าเรื่อง ถ้าเล่าไปเรื่อย ไป long-form video เลยจ้า ถ้าเน้นเล่ากระชับ ไป short-form เลย
ส่วนบทความก็มีความ short-form กับ long-form เหมือนกัน ถ้าอ้างอิง online course wrting 101 ของแอดทอย short-form คือ Facebook post นี่แหละ ถึงบางบทความจะ scroll หน้าจอมือถือหลายทีก็เถอะ ส่วน long-form ไป blog เลยจ้า เขียนโค้ดอธิบายสะดวกกว่าด้วย
ถ้าจะเริ่มเขียน blog ให้ลองใช้ medium เพราะมันง่ายมาก ไม่ต้องทำ hosting เอง มีความเป็น social media เบา ๆ ในการ follow และ clap ชาวเดฟรู้จักกันดี อีกทั้ง SEO (Search Engine Optimize) ติดหน้าแรกง่ายด้วย อนาคตก็ย้ายมาเป็นเว็บตัวเองง่ายเลย เป็น content asset ของเรา ไม่ต้องง้อ platform
Content Pillar
ประกอบด้วย objective เข้ามาแล้วในเพจของเราแล้วจะเจออะไร และ content ของเราประกอบด้วยอะไรบ้าง ลองทำ schedule การลง content คร่าว ๆ ว่าวันไหนลงอะไรกี่โมง
Topical Content เป็น content กระแส เช่น ข่าว, event, trend ใช้เวลาในการทำสั้น เน้นไว ส่วน Evergreen Content เป็น content ที่คนค้นหา และใช้อยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาในการทำนาน เหมาะกับ website ที่มี SEO ด้วย เช่นพวก how-to, tutorial ใด ๆ
Content Process & Tool
หา content จากไหน เช่น จากการเรียนรู้ จากการทำงาน จากเพื่อนในทีม จากการไปฟังอะไรสักอย่างมา ความอยากรู้อะไรสักอย่าง รวมถึงการทำสิ่งใหม่ ๆ
การวางแผน content เราใช้ Notion มันจะมีความ kanban board ทำให้เราจัดการได้ง่ายขึ้น รวมถึงเขียน draft อะไรต่าง ๆ ในนั้นได้เลย
ถ้าเป็นภาพเราใช้ Canva ในการทำ ตามขนาดที่เอาไปใช้ อย่าง photo album และปก blog บางอันที่เป็น 1 photo summary เราทำเป็น template เพื่อให้งานเราเร็วขึ้น
ส่วน video ใช้ Capcut ในการตัดต่อ โดยเขียน script บน Notion คร่าว ๆ ก่อน
แน่นอนว่าเราความสมํ่าเสมอเป็นกุญแจความสำเร็จของ content creator นะ เราต้องทำอย่างสมํ่าเสมอนะ เดี๋ยวคนลืมเรา และ algorithm ลืมเราอีก ไม่ดันโพสเราขึ้น feed
ถามว่าใช้ AI ทำได้ไหม? ไม่ทั้งหมด เราใช้ AI ช่วยหาข้อมูล เราแนะนำ perplexity เพราะมันให้ reference มาด้วย ส่วนรูป canva ก็มีหลาย feature ส่วนเสียงตอนนี้ใช้ Botnoi Voice ในการพากย์คลิป
สำหรับใครที่อยากอ่านเกี่ยวกับ content creator สามารถอ่านได้ที่นี่เลย
สุดท้าย ตัวเลขไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตการเป็น content creator (เช่นยอด reach ยอด engagement ใด ๆ) รายได้ก็เช่นกัน!

Redefine [Coding Education to Unlock Tomorrow’s] Possibilities – Tann Hiranyawech
บอกเลยสนุกมาก มีแต่เสียงหัวเราะจากคนฟังตลอด เล่าเรื่องการทำ start-up สาย education ที่หลาย ๆ คนคุ้นชื่อโปรเจกต์นี้ เรียนวิธีคิด ผ่านวิธีโค้ด ว่าทำ product ให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้เรื่องการ coding ให้สนุกได้ยังไง พร้อมมีให้เราลองคิดพร้อมเดโม่ด้วย

การทำ start-up เรียนรู้อะไรมาบ้าง? เมื่อทำ start-up เกี่ยวกับการศึกษา พบว่า

- ประชากร 74% poor digital skill หมายถึง การหาข้อมูลที่ถูกต้องใน internet ไม่ได้
- เสีย GDP 3.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP เป็น crisis ของประเทศ
จุดเริ่มต้นของคุณธัน เริ่มจากตอน ป.4 เจอคอมจอฟ้า อ่านหน้าจอเขาบอกว่าให้ eject CD แล้ว restart คอม แล้วคอมใช้ได้ พอมาเรียน IT พบว่าการ coding มันยาก แล้วทำยังไงให้มันง่าย

ปี 2560 มีวิชาวิทยาการคำนวณ และคุณครูมาไม่ทัน แล้วมีโน้นนี่เต็มไปหมด ทั้งการ coding ต่าง ๆ รวมถึงการใช้โปรแกรมต่าง ๆ ด้วย ในยุคนี้ก็ใส่ CapCut Canva มาด้วย จริง ๆ แล้วจุดประสงค์ของวิชานี้คือคิดแบบนักคอมเป็น

project ทำให้เด็กไทยเป็น programmer ทั่งประเทศ ทำให้มีวิธีคิดที่ดี เพราะการ coding ทำให้โลกมี responsility ที่ดี เรียนเพื่อเข้าใจวิธีคิด
การเรียนรู้ผ่าน context เป็นเรื่องสำคัญ มีโจทย์ และเล่นแบบ offline
การเรียนรู้ต้องมีครู จะต้องสนุก เลยเป็นเกมส์ และมีผลลัพธ์ออกมา

แต่บริษัทเป็น software house นะ คนส่วนใหญ่ในบริษัทคือมาทำโปรเจกต์นี้ ซึ่งทำรายได้ไม่ได้
พอไปงาน UX Conference ปีที่แล้ว เลยมีการ revamp เริ่มใม่ ทำให้เร็ว เพื่อไป global เพราะปัญหานี้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในไทย แต่มีปัญหานี้ทั่วโลกเลย แล้วอะไรที่แตกต่างกันล่ะ เรื่องภาษานั่นเอง

คู่มือการอยู่รอดในยุคนี้ นอกจากจะมี hard skill และ soft skill แล้ว เราขาด skill การเรียนรู้ไม่ได้ ไม่งั้นเราจะไม่ขวนขวายในการเรียนรู้

ให้เด็กเล่นสนุก ตอนไหนเล่นไม่ได้ ตอนนั้นต้องการครู และทั้งหมดยึดมาตรฐาน CSTA ของสหรัฐอเมริกา เพราะไป global เนอะ

Lesson Learn
Experimental Mindset
ทำงาน education ไม่ง่าย ห่วงเด็ก ห่วงครู ห่วงผู้ปกครอง ห่วง ผอ ไม่จ่ายตังค์ 😂
ไปต่อได้ไม่ได้ถ้าไม่ทดลองและทำให้ดีขึ้นด้วยวิธีอะไร ใช้ Experimental Mindset สิ
- Curiousity: ทำให้การเขียนโค้ดมันง่ายขึ้น
- Set Hypothesis: เรียงจากง่ายไปยาก เริ่มจาก icon มา block จบที่ text
- Make Prototype: ลองลงมือทำจริง ค่อย ๆ ไปทีละนิด
- Test ASAP: test กับคุณครูวิทยาการคำนวณ จน approach อันนี้ -> python เขียนโค้ด, engage ทำให้มั่นใจมากขึ้น

The Flow of Learning
flow การเรียน

การพูดทำให้เห็น pattern เช่น เดินจุดนี้ไปแบบนี้นะ พอมันซํ้า ๆ ก็เบื่อ ก็ให้วน loop และค่อย ๆ ใส่อุปสรรค และเงื่อนไข ทำให้น้อง ๆ สนุก ตื่นเต้น พอเห็น code แล้วเข้าใจมากขึ้น

PRIMM (Predict, Run, Investigate, Modify, Make) สิ่งที่เอามาสอน ในการสอน มีการ predict ลองเล่น และถ้าไปเก็บที่อื่นเก็บยังไง
Keep Learning Fun
ทำให้สนุก การใส่เสียงสำคัญ ถ้าไม่มีเสียง เด็กก็ไม่ engage
สุดท้าย make it personal เป็นการเรียนรู้ของเขา แต่ละคนเรียนรู้ไม่เหมือนกัน และ team ก็ต้องสนุกด้วย อีกทั้งการ coding สอนให้เด็กคิด ดังนั้นการมาของ AI ก็จะไม่ได้เปลี่ยนตรงนี้ไปเสียหมด


Team Topologies – Thanthiya Phatharamalai
เล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือชื่อเดียวกับ session ว่าเราจะจัดทีมยังไง ให้ทีมทำงานได้มีประสิทธิภาพ

ซึ่งหนังสือที่ชื่อว่า Team Topologies ให้ leader อ่านเรื่อง strategies ของทีม และลักษณะแบบไหน เรียกว่าทีมอะไร และทำยังไง ให้ effective

ก่อนอื่น ทีมเรามีปัญหาอะไร? เช่น ประสิทธิภาพการทำงานลดลง, ทีมขาดความกระตือรือร้น ทำงานไม่ค่อยสนุก, การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ, ทีมมีความสับสน และทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน, การสื่อสารภายในองค์กรค่อนข้างยาก และอื่น ๆ

Conway's Law กล่างถึงการออกแบบระบบบน communication structure เช่น website แต่ละคณะของมหาวิทยาลัย ที่ปิด logo แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นของมอไหน เพราะแต่ละทีมไม่ได้คุยกัน เลยออกมาไม่เหมือนกัน หรืออย่างขนส่งมวลชนอย่าง BTS MRT รถเมล์ ที่ซื้อตัวคนละแบบกัน ซึ่งบางประเทศก็ใช้ตั๋วเดียวกันหมดได้ ซึ่งมันต้องปรับที่ organization operation หรือเปล่า

Team ขนาดของทีมสำคัญในเรื่องความเร็วในการทำงาน ยิ่งคนในทีมเยอะ ความเชื่อใจก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ และยิ่งองค์กรมีขนาดใหญ่ releationship ก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ และสิ่งที่สมองเราต้องคิดใน working memory ของเรา ดังนั้นจะต้องกำจัดและลดเรื่องนี้ให้มากที่สสุด
หน่วยที่เล็กที่สุดของทีม ในทาง agile มันคือ 7 บวกลบ 2 และในทาง Team Topologies จะเป็น 5 - 9 คน ที่อยู่ใน share goal เดียวกัน

3 Cognitive Load

- Intrinsic Cognitive Load: เรียนรู้ทุกวัน → ทำให้ง่ายต่อการเรียนรู้
- Extraneous Cognitive Load: มีสิ่งที่ disturb เราตลอดเวลา เช่น การแจ้งเตือนในโทรศัพท์ → reduce ไม่ให้โหลดสมองของเรามาก
- Germane Cognitive Load: แบบงานยาก ที่ต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ในเรื่องใหม่ ๆ → ให้เวลามัน และใส่แรงเพื่อให้เรียนรู้
4 Fundamental Topologies


- Complicated Subsystem teams (สีส้ม): ทีมที่ทำของยาก ๆ ให้ใช้
- Enabling teams (สีม่วง): ลด intrinsic ของ stream ช่วย support ลด load ในการเรียนรู้
- Stream-aligned teams (สีเหลือง): cross-function team ที่ deliver ของออกมาได้
- Platform group (สีฟ้า): ลด extraneous load ออกแนวทำ service มาให้ เช่นพวก pipeline
3 Team Interaction

- Collaboration (สี่เหลี่ยมด้านขนาน) : นั่งทำบางอย่างด้วยกัน เช่น pair programing กัน
- X-as-a-service (XaaS) (สามเหลี่ยม): provide ของบางอย่างมาให้ เช่น API
- Facilitating (วงกลม): ช่วยสอน ทำให้งานง่ายขึ้น
ตอนเอามาเขียนแผนภาพ

- Collaboration: union ด้วยลายสี่เหลี่ยมตาราง
- X-as-a-service (XaaS): เป็นโซ่เชื่อมกัน
- Facilitating: union ด้วยลายจุด
Team เราตอนนี้เป็นยังไง?
ทีมของฉันคุยกันแบบไหน?

อันนี้เป็นคำแนะนำ ว่าอะไรควรเพิ่มควรลด
แต่ละทีมมี capability หรือสิ่งที่ต้องแบกรับอะไรบ้าง

ให้วาด as-is (ตอนนี้เป็นแบบไหน) กับ to-be (อยากให้เป็นอะไรแบบไหน)

ลดสมองบวม โดยการลด Cognitive Load 3 แบบ เช่น ช่วยหา infra หรือใช้ service อันนี้หน่อย


ปัญหา อยากเรียนรู้ จัดการ อยากเก่งขึ้น และอื่น ๆ เอา Enabling มาร้อย เพื่อ enable ไป Facilitating
ส่วน platform ทำ stream เหมือนกัน และ 1 ทีมควรทำงานได้ด้วยตัวเอง
การ Enabling ไม่ได้อยู่ตลอด ดังนั้นไม่ควรไปทำทีละหลาย ๆ ทีม ให้ focus

guideline เป็นจุดเริ่มต้นในการคุยกัน

เมื่อจบ session สุดท้ายมีแจกของ ซึ่งฟิวแบบ แจกไม่หมดไม่กลับบ้านน้า เนื่องจากทางนี้เป็น speaker เลยได้แก้วและเสื้อของงานไป เลยเลือกเป๋าอันนี้มา น่าร้ากกก


แล้วก็ถ่ายภาพก่อนกลับกัน

สุดท้ายนี้ขอบคุณทีมงาน Women Techmakers Bangkok และ PyLadies Bangkok ที่ให้โอกาสมาเป็น speaker ในงานนี้ แล้วก็ทีม Creatorsgarten ที่ไลฟ์ให้ทางบ้านได้ดูกัน ซึ่งใครพลาดไป ไปดูย้อนหลังได้เลยน้า
ขอบคุณทุกคนที่มางานที่ได้มาฟังสด ๆ กับในไลฟ์ด้วย ด้วยเวลาอันจำกัดเลยอาจจะข้าม ๆ ไปในบางอันเนอะ แต่แจกสไลด์ท้าย session ไป น่าจะไม่มีอะไรล่ะนะ
ส่วนคลิปบรรยากาศงานเราลงไว้หลายช่องทางเลย แต่แปะอัน TikTok ไว้ในนี้ก็แล้วกัน
@mikkipastel บรรยากาศงาน Technologista: International Women’s Day Bangkok 2025 เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ทาง Women Techmakers Bangkok และ PyLadies Bangkok ร่วมกันจัดขึ้น ที่ Cleverse และมีทาง Creatorsgarten เป็นทีมไลฟ์สดในงานด้วย . ภายในงานมี 6 session จากสาว ๆ สายเทค ที่แต่ละคนมีกับหลากหลายหัวข้อ รวมถึง 4 lightning talk สั้น ๆ ในช่วงพักเบรกอีกด้วย . อีกทั้งยังมีกิจกรรมลุ้นรับของสุดน่ารักจากทาง CJ More (ในคลิปผิดขออภัยด้วยค้าบ;_;) และของแจกอีกมากมาย ที่แจกไม่หมดไม่กลับ 555 . สุดท้ายนี้ขอบคุณทีมงานที่ให้เราได้เป็นหนึ่งใน speaker ในงานนี้ และดูแลทุกคนอย่างดี และมีระบบไลฟ์ในงาน รวมถึงทุกคนที่มางานด้วยน้า . #CapCut #Technologista #womentechmakers #pyladies #techevent #WomenOfTikTok ♬ original sound - มินซอ แอนดรอยด์เดฟ
ติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ และทุกช่องทางโดเนทกันไว้ที่นี่เลย แนะนำให้ใช้ tipme เน้อ ผ่าน promptpay ได้เต็มไม่หักจ้า
ติดตามข่าวสารแบบไว ๆ มาที่ Twitter เลย บางอย่างไม่มีในบล็อก และหน้าเพจนะ
สวัสดีจ้า ฝากเนื้อฝากตัวกับชาวทวิตเตอร์ด้วยน้าา
— Minseo | Stocker DAO (@mikkipastel) August 24, 2020