อยากสอนออนไลน์แต่ไม่รู้ทำไงดี มาเรียนรู้จากคอร์สของ Skooldio กันเถอะ

Learning Jul 11, 2020

คอร์สชื่อว่า Designing Your Virtual Workshop Experience ออกแบบเวิร์กชอปออนไลน์ ให้ได้ใจคนเรียน

ก่อนอื่นเลย ทำไมเราถึงสนใจคอร์สนี้?

เพราะเราเองเคยคิดอยากจะเปิดคอร์สสอนแหละ แบบทำอะไรไว้หลายอย่างเตรียมไว้อยู่ พบกับจุดแรกที่ยากคือ เรื่องสถานที่ 555 พอเวลาล่วงเลยผ่านไป ก็มีแพลนจะสอนออนไลน์เล็กๆหล่ะ คนที่อยู่ไกลจะได้ไม่ต้องเดินทางมากรุงเทพอ่ะ อีกอย่างพี่ในทีมอยากเขียน Android เพื่อนๆเราก็ด้วยแหละ และช่วงแบบนี้ด้วย ออนไลน์น่าจะดีสุดแล้วแหละ

และส่วนนี้คือรายละเอียดของคอร์สนี้เนอะ

Designing Your Virtual Workshop Experience - ออกแบบเวิร์คชอปออนไลน์ให้โดนใจคนเรียน | Skooldio
ออกแบบประสบการณ์ Live Workshop
https://www.skooldio.com/workshops/designing-your-virtual-workshop-experience

เตรียมตัวเรียน

แน่นอนว่าทาง Skooldio ส่งตัว booklet มาให้ ข้างในเป็นสไลด์ในวันนี้ที่เรียนกันเนอะ เรียกได้ว่าตื่นเต้นสุดๆที่จะได้เรียนเลย และเอกสารนั้นถูกจัดส่งผ่าน Kerry ในระยะเวลารวดเร็วสุดๆ

นอกจากเอกสารแล้ว ยังมี email reminder เพื่อเตรียมตัวลง Zoom กันให้เรียบร้อย เปิดลิ้งเพื่อเตรียมพร้อมในการทำกิจกรรม รวมไปถึงสำรวจ Agenda ว่าในครึ่งวันนั้นเราจะได้เจออะไรบ้าง และก่อนเรียนเราก็ปิดทั้งหมดที่เกี่ยวกับงานทั้งหมดลง เพื่อให้เรียนได้ลื่นๆ ไร้สิ่งรบกวนเนอะ

แน่นอนว่าเรียนแบบออนไลน์ นอกจากลางานแล้วก็อย่าลืมตื่นมาเรียนนะ

มาเรียนกันเถอะ

เมื่อถึงเวลาแล้ว ก็ทำการเตรียมอุปกรณ์การเรียน และเตรียมตัวให้พร้อม จากนั้นเปิดกล้องกันเลย ในระหว่างนั้นก็จะมีคลิปของ Skooldio เปิดวนไป รอทุกคนมาเรียนพร้อมหน้ากัน

เข้า Zoom จะพบกับหมายเลขหน้าชื่อ ซึ่งคือกลุ่มตอน breakout room นั่นเอง ให้ staff จัดเข้ากลุ่มได้ง่ายขึ้น

คอร์สนี้สอนโดยคุณหน่อน ถ้าใครได้ดู Live ต่างๆของ Skooldio แล้วจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนสอนเป็นอย่างดีเลย อิอิ คอนเซปหลักของคอร์สนี้ คือการจัดสอนออนไลน์ โดยเน้นเรื่องประสบการณ์การเรียนออนไลน์ให้เหมือนออฟไลน์

กฎกติกาการเรียน

  • เปิดกล้องตลอดเวลา เพื่อให้คนสอนเห็นสีหน้าคนเรียน เพื่อให้ได้ประสบการณ์ทั้งคนเรียนและคนสอน
  • ปิดไมค์ห้องใหญ่ (ใครเปิด staff จะไล่ปิดให้) และเปิดไมค์ห้องเล็ก ในตอนแบ่งกลุ่มทำกิจกรรมที่ห้อง breakout room
  • chat ต้องทำใจว่าคนสอนจะไม่ได้อ่านนะ เพราะต้องดูสไลด์ ดูหน้าทุกคน ไหนจะอื่นๆอีก คือส่งมาได้ แต่จะมี TA ช่วยอ่านน้า
  • อยากให้มี interaction กับคนสอน เหมือนเรียนในห้องเรียนปกติ สามารถยกมือถามได้ กดถูกใจ ปรบมือได้ตามสมควร อาจจะยิ้มให้คนสอน หรืออาจจะขำในมุข หรือจะอิหยังกับมุขก็ได้ เอ๊ะ

และ goal ของคนสอนก็คือ

  • ให้เราลองเป็นนักเรียน ได้ใข้ tool ต่างๆ
  • เรียนทฤษฎีในการออกแบบ workshop
  • ได้ลองลงมือทำจริงๆ

แล้วก็เข้าสู่กิจกรรมแรก ก็คือ กิจกรรมแนะนำตัว มีเวลาให้ 10 นาที เราได้เข้ากลุ่มย่อย และได้ใช้ Mural Board ซึ่งเป็น tool หลักที่ใช้ในคอร์สนี้เลย เหมือนแปะ post-it บนบอร์ด เน้นการทำ brainstorming

  • แนะนำตัว ตำแหน่ง และใส่ icon เพื่อบอกเป็นตัวเรา จะใช้ sticky ขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส และ icon ให้พิมพ์คำว่า persona เพื่อเอาหน้าที่คล้ายตัวเองใส่เข้าไป

เวลาใช้ก็ขยายนิดนึงเนอะ มันจะเล็กๆหน่อย

ของเราอยู่กลุ่มที่ 4 ก็จะเจอพี่กานต์ พี่ปอนด์ พี่เอ๋ และอาจารย์ธนารัตน์ ถือว่าจัดกลุ่มคนได้ใกล้ๆเคียงกันอยู่น้า

  • ต่อมา เป้าหมายของเราคืออะไร สามารถใส่ได้มากกว่า 1 อัน เป็น post-it สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเขียว ของเราเป็นสามารถจัดคอร์สของตัวเองได้ (อาจจะจัดภายในทีม ขายคอร์ส รวมไปถึงจัด online event)
  • และเรากังวลอะไร สามารถใส่ได้มากกว่า 1 อันเช่นกัน เป็น post-it สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง อ้าวไม่มีให้ลาก แต่ๆๆๆๆๆ เราดันซน อ่อออ กดเปลี่ยนสีได้จ้า ของเราคือไม่รู้จะเตรียมตัวยังไง กลัวคนเรียนไม่รู้เรื่อง และไม่เคยทำมาก่อน

ค่อนข้างตื่นเต้นพอสมควร เพราะระบบของ Zoom นั้นพาเราไปกลุ่มย่อยๆได้เลยเมื่อถึงเวลา และก็มี staff มาช่วยดูด้วยนะ

แล้วก็มีพักเบรกด้วย 5 นาที เย้

มีคำถามและสิ่งน่าสนใจบางอย่าง เลยจดไว้บ้าง

  • ให้นักเรียนเปิดกล้องยังไง เพราะบางคนเขาไม่สะดวก และเขาก็คำนึงถึงสิทธิส่วนตัวของเขาเหมือนกัน ส่วนคนสอนไม่แน่ใจว่าคนนี้เขาเรียนกับเราอยู่ไหม ทางแก้คือให้เปิดกล้องในห้องเล็ก ไปทักทายได้
  • คอมของคุณหน่อนเองเปิดแค่สไลด์ และ mural board เท่านั้น แต่ mural คือคนเข้าเยอะมันจะมีหน่วงๆบ้าง

Let's talk about workshops

Workshops vs. Meetings

  • meeting เน้นในเรื่องของ discuss คือ นั่งอยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ถกปัญหา แชร์ข้อมูล
  • workshop เน้นทำให้เสร็จ ก็คือ แก้ปัญหาร่วมกัน ระดมสมองและ idea แล้วได้ action plan ออกมา

ดังนั้นการทำ workshop เราจะเน้น learning by doing และ action participation ก็คือ

  • engage ให้คนเรียนแล้วไม่ง่วง เราสามารถจิ้มนักเรียนได้ เพื่อบอกเขาว่า เราดูคุณอยู่นะ
  • enable ลงมือทำจริง และจำได้
  • increase แน่นอนต้องได้ความรู้เพิ่มขึ้นนะ

จะมี framework นึง เป็น Experiential Learning การเรียนที่ดีไม่ใช่มานั่งฟังอย่างเดียว แต่ต้องมานั่งสะท้อนเองด้วย ดังนี้

  1. Concrete Experience คนเรียนได้สัมผัสประสบการณ์จริงจากการลงมือทำ
  2. Reflective Observation สะท้อนดูว่าทำไปแล้วเป็นอย่างไร ชอบไหม
  3. Abstract Conceptualization ตกผลึกออกมา แล้วเอาไปทำอะไรกับมันต่อ
  4. Active Experimentation รู้ว่าเอาไปทำอะไร และเอาไปทำจริงๆ

และก็มีอีกหนึ่งกิจกรรม คือ ให้แต่ละกลุ่ม list ว่าแบบ offline มีกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อ map ไป online ได้ โดยจะแบ่งเป็นดังนี้

  • pre-workshop ก่อนเรียน เราทำอะไรบ้าง เท่าที่ดูแต่ละกลุ่มนั้น มันเริ่มตั้งแต่ PR คอร์สเรียนของเรา agenda เปิดรับสมัคร การเตรียมสถานที่และอาหาร แจ้งการเตรียมตัว แจกสไลด์ จนไปถึงคนเรียนมาลงทะเบียนหน้างาน
  • during-workshop ระหว่างเรียนเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น แนะนำตัวคนเรียน สายเราอาจจะทำ coding ตามคนสอน รวมไปถึงทำแบบฝึกหัด มี TA มาช่วย
  • post-workshop จบแล้วทำอะไรต่อ หลักๆคือขอ feedback อาจจะเป็น Google Form ให้คะแนนผ่าน post-it แปะบน retrospective มีกลุ่มคนเรียนบน Facebook หรือ LINE ก่อนกลับชักภาพที่ระลึก

พอแต่ละกลุ่มคุยกันเสร็จแล้วน้านนน ก็จะมีการโหวต โดยจะเปิดโหวตเป็นรอบๆ (คนที่เปิดโหวตได้คือเจ้าของบอร์ดนะ) ให้โหวตของทีมตัวเอง เมื่อถึงเวลาโหวตหน้าจอ Mural Board เราจะเป็นแบบนี้

ผลโหวตเราไม่ได้แคปมา แต่จดไว้ เป็นผลโหวตของทุกบอร์ดรวมกันเนอะ

  • pre-workshop ให้ material ล่วงหน้า, ice breaking แนะนำตัว, ขนมเบรกเช้า
  • during-workshop post-it ระดมสมอง ส่วนอันอื่นๆคือผลโหวตใกล้เคียงกันหมดเลยแหะ
  • post-workshop key take away, กลับไปทำอะไร, reflect review, แลกเปลี่ยน contract (ขอรวมพวกกลุ่ม Facebook และ LINE ไว้ในนี้แล้วกัน)

framework ที่หยิบมาใน course นี้นั้น จะมาจากหนังสือที่ชื่อว่า "Training from the BACK of the Room" โอ้โหวชื่อยาวมาก ในหนังสือเล่มนี้จะบอกการสอนให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Training from the BACK of the Room!
Training From the Back of the Room!: 65 Ways to Step Aside and Let Them Learn: 9780787996628: Human Resources Books @ Amazon.com
Training From the Back of the Room!: 65 Ways to Step Aside and Let Them Learn: 9780787996628: Human Resources Books @ Amazon.com

การเรียนจะไม่ใส่คนสอนก็สอนไป คนเรียนก็ฟังไป แต่เป็น ให้คนเรียนได้พูด ได้เรียน และได้สอนด้วย โดยคนสอนก็จะช่วยตบๆไปด้วยกัน

และมี framework อีกตัวนึง คือ 4C อันประกอบไปด้วย

1) Connections เชื่อมโยงคนสอนกับคนเรียน เตรียมคนเรียนให้พร้อม

เน้นไปที่ leaner-focused เนอะ เราจะเคยได้ยินคำว่า child-center ให้เรียนเป็นศูนย์กลางอะเนอะ ก็ประมาณนั้นแหละ

  • ให้คนเรียนด้วยกันได้รู้จักกัน เพื่อให้เขาสามารถแสดงความเห็นได้ หรือง่ายๆคือกล้าพูดกับคนในคลาสเดียวกันนั่นเอง มีการเชื่อมโยงกับ topic เพื่อสร้าง conversation ได้
  • คนเรียนรู้ goal ว่ามาเรียนเพราะอะไร
  • connect กับสิ่งที่เราจะเรียน ว่าคนเรียนรู้อะไรมาก่อน หรือยังไม่รู้อะไร
  • เรียนเสร็จแล้วเอาไปทำอะไรต่อ

ความแตกต่างของ goal และ outcome

  • goal วันนี้อยากรู้อะไร
  • outcome เราเอาไปทำอะไรต่อ

สรุปการ connection นั้น ไม่ใช้การทำ ice-breaking เพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องมีกิจกรรมที่ดีและสนุกลงไปด้วย และเอา connection ไปสอดแทรกกับสิ่งอื่นๆด้วย เพื่อให้คนเรียนนำสิ่งต่างๆมาเชื่อมโยงกัน

ตัวอย่าง

  • ทำ pre-workshop survey เพื่อให้รู้ว่าเป้าหมายในการเรียนของคนเรียนคืออะไร คนสอนจะรู้ว่าคนเรียนอยากเรียนอะไร สามารถ custom ให้เหมาะสมกับคนเรียนได้ โดยเน้นไปที่ learner focus
  • คนเรียนแนะนำตัวเอง และ goal ของตัวเอง ให้เพื่อนๆร่วมคลาสฟัง
  • เขียน 3 facts ของเราลง post-it อาจจะเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะเรียนก็ได
  • มี quiz เพื่อให้รู้ว่า คนเรียนรู้หรือไม่รู้อะไร ทำให้คนสอนปรับเนื้อหาได้

2) Concepts ใส่ข้อมูลการเรียนลงไป โดยการใส่ความรู้ สิ่งที่อยากจะสอนในวันนั้น

  • อย่าไปยัดตำราเยอะๆ ให้เลือกอันที่สำคัญมากๆจริงๆ ที่เราต้องสอนเองเท่านั้น
  • ให้สไลด์ไป อาจจะไม่ต้องใส่ไปทั้งหมด มีแค่ topic เพื่อให้คนเรียนสามารถจดลงไปได้ ทำให้คนเรียนไม่ลืม และคนสอนสามารถใส่ตัวอย่างประกอบแบบปากเปล่าได้
  • อย่าสอนยาวเกินไป อาจจะแบ่งเป็น sction เล็กๆ และมีการ review ให้ทุกฟัง
  • ให้มี interactive ระหว่างคนสอนและคนเรียนให้มากที่สุด

ทาง Skooldio ส่งเอกสารการเรียน workshop online ไปให้ผ่าน Kerry เพราะง่ายกว่า แต่ตัวต้นทุนต่างๆไม่ได้ลดลงนะ เช่น ค่า studio เอย ค่าจัดส่งเอกสารและอุปกรณ์การเรียนเอย อะไรเอย แต่เพื่อให้คนที่มาเรียนประทับใจมากที่สุดนั่นเอง

3) Concrete Practice ให้คนเรียนลองทำ

  • ให้ทุกคนร่วมฝึกไปด้วยกัน แต่เพราะคนเรียนเยอะและเวลาจำกัด อาจจะส่งได้แค่ตัวแทน ทำให้ไม่ได้เรียนร่วมกัน
  • ถ้าเรียนแบบ offline ไม่เข้าใจก็ถามคนข้างๆได้ เข้าใจง่ายกว่าที่อาจารย์พูด ในที่นี้ก็อาจจะช่วยย่อยเนื้อหาให้เพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกัน

โดยการนำ concepts ไปเป็น concrete practice จะเป็นดังนี้

  • คนสอนทำให้ดูก่อน เป็นตัวอย่าง
  • แล้วมาทำด้วยกัน ให้คนสอนช่วย guide ให้
  • จากนั้นให้คนเรียนไปลองทำในกลุ่มก่อน
  • และลองทำเองคนเดียว

4) Conclusions คนเรียนตกผลึก ว่าเอาอะไรไปทำต่อ ถ้าคนสอนทำให้ดี คนเรียนจะรู้สึกฟินมาก

  • คนเรียน สรุปเองว่าเรียนแล้วได้อะไรกลับไป
  • คนเรียนประเมินได้ว่าตาม goal ที่เราตั้งไว้ก่อนเรียนหรือไม่ ถ้าไม่ได้บอกคนสอนได้เลย
  • สร้าง action plan ให้คนเรียน เพื่อนำสิ่งคนเรียนได้เรียนไป นำมาใช้
  • และคนเรียนจะได้ positive feeling :D จำความรู้สึกดีๆได้ ทำให้จำความรู้ที่เรียนได้

Tools for Running a Virtual Workshop

ในส่วนของ pre-workshop จะมีหลายๆช่องทางที่ใช้ เช่น กรอกใบสมัครผ่าน Google Forms, ทำกลุ่ม Facebook / LINE กัน หลักๆในส่วนนี้คือ

  • สร้าง connection ของคนเรียน และคนเรียนจะต้องเจออะไรบ้าง อาจจะมี survey ให้คนเรียนทำก่อนว่าอยากรู้อะไร และอะไรคือความมุ่งหวังสำหรับ workshop นี้
  • เตรียมคนเรียนให้พร้อม เช่น ใน email จะบอกว่าให้คนเรียน download program อะไรมาก่อนเรียน
  • สร้าง experience ให้ใกล้เคียงกับแบบ offline ให้ได้มากที่สุด เช่น ส่งเอกสารการเรียนไปให้คนเรียนถึงบ้านก่อนวันเรียน แล้วมีเรื่องขนมเบรกที่ติดอันดับการโหวต ทาง Skooldio คิดแล้วยังไม่ได้ทางที่ work อย่างเช่นส่ง oreo ไปกลัวมันจะละเอียดก่อนถึงคนเรียนงี้ เป็นโจทย์ที่ยากเหมือนกันเนอะ
  • ส่ง reminder ไปให้คนเรียน เนื่องจากแบบ offline คนเรียนจะมีการเตรียมตัวออกจากบ้าน จะดูตื่นๆเนอะ ส่วน online แค่ตื่นมาเปิดคอมก็เรียนได้ กลัวคนเรียนจะลืมเลยส่งเมลล์ว่า พรุ่งนี้เรียนแล้วนะ

โดย key ที่สำคัญในการจัด Virtual Workshops มีดังนี้

1) Real-time Communication

แน่นอนว่าการเรียนการสอนแบบออนไลน์จะต้องผ่าน Video Conference จึงเน้นให้คนเรียนและคนสอน โต้ตอบกันได้

โปรแกรมที่มักใช้กัน ก็แล้วแต่องค์กรอ่ะเนอะ

  • Zoom
  • Google Hangout / Meet
  • MS Team อันนี้น่าเศร้านิดนึง ตรงเห็นแค่ตัวเองเปิดกล้อง แต่คนอื่นไม่เห็นเรา ต้องทำใจนิดนึง

Video Setting ใน Zoom

  • mirror my video : ก็คือทำให้ซ้ายเป็นซ้ายจริง ขวาเป็นขวาจริง ต้องระวังอย่าให้ผิดด้าน
  • touch up my appearance : ช่วยทำให้หน้ามีแสงแบบ softๆ ให้เราดูดีขึ้นนิดนึง
  • choose virtual background : เปลี่ยน background แต่ถ้าเป็น video ต้องระวังด้วย อาจจะดึงความสนใจออกจากบทเรียน และรบกวนคนอื่นๆได้ ให้เลือกแบบสบายตา
  • วิธีการตรวจงานเด็ก คือ ให้คนเรียนทำงาน ทำเสร็จแล้ว capture หน้าจองานเราไว้ แล้วมาเปลี่ยนเป็น wallpaper ใน zoom
  • การแชร์หน้าจอ ให้เลือก Optimize Screen Share for Video Clip ความละเอียดของ videp จะลดลง แต่ได้ frame rate ที่สูงขึ้นไม่กระตุกน้า และถ้าเราแชร์วิดีโอ ก็อย่าลืใกด Share computer sound ด้วยน้า

ส่วนอื่นๆ จะมีให้เลือก gallery view ถ้าเราอยากเห็นหน้าทุกคน และ feature สำหรับ Zoom เสียเงิน คือ Polling เป็นการทำ quiz สั้นๆ แต่ต้องไปเตรียมในเว็บก่อนนะ และก็ breakout rooms ที่เราได้เข้าไปทำกิจกรรมกลุ่มย่อยเนอะ เป็นการจัดคนไปอยู่ตามห้องต่างๆได้ มีแบบจัดเอง อย่างเช่น staff จะจัดคนตามเลขที่อยู่หน้าชื่อ และ random

2) Content Sharing

แชร์ไฟล์ต่างๆที่ต้องอ่านร่วมกัน

3) Visual Thinking

  • Brainstorming จะใช้ Mural และ Miro กัน ทั้งสองตัวจะมี function และลูกเล่นอื่นๆ แต่มันจะมีความหน่วงๆ เมื่อคนเยอะๆเข้าไปรวมกัน จำนวนคนที่กำลังดีคือ 30 คน ก็คือจำนวนคนที่เรียนวันนี้เนอะ หรือบางที่จะใช้เป็น Google Jamboard ก็ได้ (อีกคอร์สนึงเป็นคอร์สฟรี เราลงไว้ แต่ติดประชุมด่วนอดเรียนเลย เขาก็ใช้อันนี้นะ)
  • Voting/Grouping ก็เป็น Mural และ Miro
  • Templates เจ้า Miro มี template เยอะ แต่มี limitation หลายอย่าง ถ้าจ่ายเงินเราจะสามารถให้คนเรียนดูเฉพาะบางบอร์ดได้
  • Google Slide นอกจากจะใช้ทำสไลด์แล้ว ยังใช้กับกิจกรรม Brainstorming ได้โดยทำหน้าตาให้คล้าย whiteboard ที่มี post-it จริงๆ ข้อดีคือไม่หน่วง เรียนรู้ได้ไว

Tips สำหรับคนสอน

  • สื่อสารให้คนเรียนเข้าใจ ว่าทำอะไรบ้าง และได้อะไรกลับไป
  • มี timebox เพื่อให้เราสามารถควบคุมเวลาได้
  • ถ้ากิจกรรมมันยาวๆ ให้แบ่งเป็นกิจกรรมสั้นๆ และ recap กิจกรรมที่เพิ่งผ่านไป ก่อนเข้าสู่กิจกรรมต่อไป

4) Real-time Collaboration

แต่ละ workshop มีความต้องการต่างกัน

  • สำหรับพวกไฟล์เอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น document slide spreadsheets ส่วนใหญ่จะใช้ Google Suite อันมี Google Docs, Google Slide, Google Spreadsheet หรือไม่ก็อีกเจ้านึงคือ Office 365
  • พวก workspace ต่างๆจะใช้ Notion เป็น productivity tool ซึ่งสามารถแชร์พวก infomation ต่างๆ, วางตารางกิจกรรม, สร้าง task, ทำ kanban board ง่ายจบครบในแอพเดียว สามารถดูคลิปนี้เพื่อทำความรู้จักเจ้า Notion กัน
สอนใช้ Notion สุดยอด Productivity App ที่จะมาเปลี่ยนชีวิตของคุณ
มาเปลี่ยนชีวิตให้ Super Productive ด้วย Notion แอปสารพัดประโยชน์ ที่จะช่วยให้ทั้งการเรียนและการทำงานของคุณง่ายขึ้น.ไม่ว่าจะเป็นการเขียน To Do List, จด Journal, บริหาร Project และอีกหลากหลายความสามารถ โดยคุณกันต์ กรรณวัฒน์ Business Development Intern จาก Skooldio
  • สำหรับ designer จะใช้ Figma เนอะ
  • ส่วน developer ใช้ Visual Studio Live Share (ถ้าเรียนทำแอพ iOS และ Android นี่นึกไม่ออกเลยอ่ะ)

กิจกรรมสุดท้ายของคอร์สนี้ เรามาทำการ Design your own Virtual Workshop กัน โดยเอาอันที่โหวตมากที่สุดในกลุ่ม มาคิดต่อว่า map อะไรได้บ้าง (เราไม่ต้องหาเองว่าอันไหนโหวตเยอะสุดนะ มี TA ช่วยลากให้แล้ว) เช่น ส่งเอกสารประกอบการเรียน จะส่งยังไงดีนะ? ส่งผ่านไปรษณีย์ หรือจะแนบ pdf ใน email หรือลากคนเรียนเข้า Facebook Group ลับแล้วไปแจกในนั้น เราก็จะเริ่ม ideate ใส่ออกมาเยอะๆ และเลือกอันไหนสำหรับ online และให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มมาอธิบาย ทางเราได้จดสิ่งที่น่าสนใจ ดังนี้

group 1

  • ส่งโค้ดลับหรือ emoji เพื่อให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น กด 1 ชอบมา กด 2 ไม่เข้าใจ กด 3 จารย์หยุดพูดเถอะ กด 555 คือขำ มีกดให้อาจารย์ออกด้วยอ่ะ ;__;
  • ขอ feedback และเอามาปรับ ซึ่งจะเกี่ยวกับ class มากกว่าตัวบุคคล

group 2

  • ส่ง link ในกลุ่มปิด และเอามาแชร์ไอเดียกันต่อ
  • มี email ขอบคุณและสรุปเนื้อหา

ส่วนตรงนี้เป็น Q&A จดแต่คำตอบพอเนอะ

  • knowledge base vs. skill base ขึ้นกับ topic ที่เรียน เช่นเรียน UI เรียนแบบ virtual จะเห็นได้มากกว่า ชัดกว่าแบบ offline
  • in-house อาจจะให้พนักงาน check-in เรื่อยๆ เช่น scan qr code

group 3

  • ทำให้อย่างไรให้เกิด engagement? ให้คนเรียนตอบว่าได้รับเมลล์นี้แล้วนะ มีการกำหนดธีมก่อนเรียน ว่าทำ bg แบบไหน ทำให้เด็กสนุก มีความกรี๊ดกร้าด โดยที่อาจารย์ไม่ต้องบอกอะไรมาก เพราะเด็กๆถ่ายรูปแคปจอกันเองหมด
  • ไม่รู้ว่าคนไหนหายไป จะมีการ random ถาม สุ่มคนที่ปิดหน้าจอ (ปิดกล้อง) ทำให้เด็กๆรู้สึกว่าอย่าทำตัวง่วงๆน่าโดนเรียกอะไรงี้
  • เปลี่ยน mindset คนสอน ว่าให้มีการ consule ด้วย และจะประเมินอะไร

group 4

  • มีการส่ง material ก่อนเรียนให้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์
  • มึคลิปสอนย้อนหลัง
  • จะไม่ให้การบ้านอย่างเป็นทางการ แต่จะเป็น challenge ให้ไปทำ แบบใครทำไม่ทำก็ได้ ไม่ได้บังคับอะไร ใครชนะได้ของไป ผลที่ได้คือเด็กตั้งใจทำมาส่งเยอะมากๆ
  • ใช้ virtual background เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวเอง

group 5

  • กำหนดกลุ่มคนเรียน มีการ promote และ run process ต่างๆ (อันนี้เราก็เพิ่งรู้เบื้องหลังจริง)
  • มองในเรื่อง commulity เป็นหลัก มีการ sharing กันหลังเรียน

ปล. เราแปะตัว Mural Board ไว้ในอีกไฟล์นึง ซึ่งขอไม่แปะในนี้แล้วกัน เพราะก่อนหน้านี้นำไปแจกจ่ายกันแล้ว

ปล. คุณหน่อนบอกว่าบางท่านเปิด Mural Board ใน iPad ไม่ได้ ทางเราได้ลองพบว่ามันไม่ support หน้าเว็บที่เป็น iPad เนอะ และจะมีหน้าเชิญชวนให้โหลดเป็นตัวแอพมาจ้า

สอนอยู่บ้าน จะทำยังไงดีนะ?

สำหรับคนสอนจะต้องเตรียมตัวดังนี้

  • Rehearse ซ้อมเยอะๆ เพื่อให้ตัวเองไม่เขินเวลาออกหน้ากล้อง เอ้ยยย เวลาสอนดิ
  • Prepare your computer เตรียมคอมของเราให้พร้อม จริงๆคือเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้สอนให้พร้อม
  • Only open the tabs you need เปิดเฉพาะ tab หน้าเว็บ และ program เฉพาะที่ใช้เท่านั้น กันเครื่องหน่วงเครื่องช้าเนอะ ซึ่งจะ relate กับที่คุณหน่อนบอกว่าเปิดแค่สไลด์กับ Mural Board นี่แหละ

ส่วนทริคต่างๆสำหรับการตั้งกล้อง มีดังนี้

  • ตำแหน่งของกล้อง เอาอะไรก็ได้มายกคอมขึ้นมาให้กล้องอยู่ในระดับสายตา อย่าเอามุมเสยนะ ปกติมุมนี้ก็ไม่ค่อยจะรอดกันอยู่แล้วในทางปกติ
  • แสง ให้แสงอยู่ด้านหน้ากล้องเนอะ ตอน breakout room พี่ปอนด์ได้ขายสิ่งที่เรียกว่า ring light ตัวอุปกรณ์จะเป็นไฟวงๆ แล้วบางทีเราสามารถเอามือถือมาวางในวงของไฟ ring light เพื่อทำให้หน้าเราสว่างขึ้น คนเรียนมองเห็นหน้าเราชัดนั่นเอง
  • พื้นหลัง ใช้สีสว่าง หรือใช้สีโทนเดียว เพื่อไม่ให้ดึงความสนใจกับคนอื่นๆ
  • เสียง พยายามทำเสียง background ให้เงียบที่สุด อย่ามีเสียงลูกๆน้องหมาน้องแมวเข้ากล้อง แล้วก็เสียงถนน รวมไปถึงรถกับข้าว (ตรงรถกับข้าวเราขำเลยอ่ะ คืองี้ มีประชุม conference ในทีม แล้วได้ยินเสียงรถกับข้าว ก็นึกว่าเฮ้ยยย เสียงจากน้องที่ call ด้วยหรือเปล่า เปล่าเสียงแถวออฟฟิคเราเอง -__-), หาที่เล็กๆหน่อย เพราะห้องกว้างเสียงมันจะก้อง แล้วห้องต้องแคบระดับไหนกันนะ เอาเป็นว่าเวลาสอน อย่าจับอะไรใกล้ๆคอมเรา เพราะเสียงมันจะเข้ากล้องไปด้วย
  • การ setup ของ Skooldio เขามีรูปแรกสุดให้ดู ตอนนี้ก็ปรับนิดหน่อยไม่ได้ต่างจากเดิมมาก หลักๆคือ ไฟส่องหน้าคนสอน, โต๊ะยืน เพื่อให้ experience เหมือนกันสอนสด ที่มีแบบเดินไปเดินมาได้ แต่สอนออนไลน์เดินไปเดินมาไม่ได้เน้อ, มีจอเพิ่มมา อันนึงไว้เห็นหน้าคนเรียนทุกคน อีกจอไว้ monitor ว่าทุกคนเห็นอะไร
ยืมรูปจาก https://blog.skooldio.com/creating-live-remote-workshop/
  • มีการใช้ green screen เพื่อเปลี่ยนพื้นหลังได้ตามใจ
  • การจัดไฟ ของ Skooldio มีไฟ 4 ตัว ไว้ส่องหน้าคนสอน ให้เห็นหน้าคนสอนชัดเจน จัดแสงให้คนสบายตามากที่สุด แต่คนสอนอาจจะไม่สบายตาด้วยเพราะไฟเยอะ
  • การทำกราฟฟิคสวยๆ ที่เราเห็นกันอยู่นั้น มี 3 ส่วนด้วยกัน คือ ฝั่งคนสอนจะเป็น silde, ภาพคนสอนจากกล้อง, และกราฟฟิคบนเครื่อง host ซึ่งตัว Zoom จะต่อจากเครื่องทีมงานเช่นกัน ทั้งรวมเอามารวมกันด้วย OBS และ feed เข้า Zoom

ถ้าอยากรู้จัก OBS คร่าวๆ ลองอ่านบล็อกนี้ได้ ถึงหัวข้อจะบอกว่า LIVE Facebook ก็เถอะ

วิธี LIVE Facebook ด้วย OBS แบบมือใหม่ก็ไลฟ์ได้
รีวิวเครื่องสำอาง สกินแคร์ ของกิน และของใช้ทั่วไป

จากนั้นจะมีให้เราทำ checklist โดยทาง Skooldio จะมี template มาให้ ซึ่งเราก็ make a copy ออกมาเป็นของเรา และใส่ใน Google Slide แล้ว export รูปออกมา ตัวข้อความในโพสเราก็ร่างไว้ใน speaker note ก่อน

เมื่อวานเราเรียนคอร์ส Designing Your Virtual Workshop Experience รุ่น 2 ของ Skooldio มาเมื่อวานนี้ เลยทำ checklist 5...

Posted by MikkiPastel on Saturday, July 4, 2020

Final Final Tips

  • over prepare เตรียมให้เยอะที่สุด
  • know the tools รู้จัก tool ต่างๆที่ใช้ และเราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
  • over communicate จะต้องพูดเยอะกว่าปกติ เพราะมันจะหลุดได้ง่าย สมมุติให้ไปแปะ idea เกี่ยวกับเรื่องเรียนออนไลน์ใน Mural จะมีการพูด 3 ครั้ง ครั้งแรก คนที่หลุดจะได้ยินตรงหางๆ ครั้งที่สอง อ๋อ ต่อไปจะมีกิจกรรมนี้นะ ครั้งที่สาม คนเรียนเข้าใจหล่ะว่าทำอะไร และไปทำได้
  • get personal พยายามคุยกับคนเรียนทุกคน อันนี้เป็นสิ่งที่คุณหน่อนเองรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้คุยกับคนเรียนทุกคน แต่เราเข้าใจได้นะ ด้วยเวลาด้วยแหละเนอะ ถ้าใครมีข้อสงสัย สามารถเข้ากลุ่ม Facebook ได้ คุณหน่อนและทีมงานจะช่วยเข้าไปตอบให้จ้า

ก่อนจบมีการถ่ายรูปรวมด้วยอ่ะ ตื่นเต้นเลย 555

ตอนแรกก็เกรงๆนะกับการสรุปในครั้งนี้ กลัวละเอียดเกินไปอ่ะ55555 แต่เสน่ห์ของคอร์สก็คือ มีการปรับเปลี่ยนไปตามคนเรียน อย่างรอบนี้อาจารย์มหาวิทยาลัยเยอะ เนื้อหาก็จะช่วยอาจารย์ในการจัดการเรียนการสอนงี้

สุดท้ายฝาก Tutorial ซ้อน Tutorial ของคุณหน่อนด้วยนะฮับบ (เดี๋ยวววว)

อยากอัด Tutorial แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง คลิปนี้มีคำตอบภายในสิบนาที!
อยากอัด tutorial แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ไม่อยากโหลดโปรแกรมอื่นเพิ่มเยอะแยะ จะอัดคลิปสอนด้วยวิธีไหน? เคยลองใช้อัดด้วย zoom แต่ภาพมันไม่ชัด จะทำยังไงดี? 📌 ในคลิปวีดีโอนี้ คุณหน่อน (Business Development Associate) จะพาทุกคนไปหาคำตอบกับสามคำถามด้านบน พร้อมกับคำอธิบายง่ายๆดูจบแล้วทำตามได้ภายใน 10 นาท…

สุดท้ายจริงๆ เราเคยเห็นบล็อกนี้ตอนช่วงที่ Skooldio จัดคอร์สสอนสด online ว่าเขาทำยังไง ต้องใช้อะไรบ้าง

ค้นคว้า ออกแบบ ทดสอบ… กว่าจะออกมาเป็น Skooldio Live Remote Workshop
https://blog.skooldio.com/creating-live-remote-workshop/

แล้วก็อันนี้ บล็อกของพี่แบงค์ จะเห็นในมุมคนสอนเลยว่าต้อง handle อะไรบ้าง

Online Workshop ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง
อาทิตย์ที่ผ่านมา UX Academy ร่วมกับ Skooldio จัดสอนแบบ Online UX Workshop ได้ผลตอบรับดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก ผู้เรียนสนุกบอกให้หยุดก็ไม่ยอม 😆 เลยเอารูปการจัดจัดอุปกรณ์ของทีมงานมาให้ดูครับ…

เขียนบล็อกเสร็จแล้ว แชร์เพจได้ เย้ๆ

อย่าลืมกด like กด share บทความกันด้วยนะคะ :)

Posted by MikkiPastel on Sunday, 10 December 2017

Tags

Minseo Chayabanjonglerd

I am a full-time Android Developer and part-time contributor with developer community and web3 world, who believe people have hard skills and soft skills to up-skill to da moon.