สอบและสัมมนาจบหลักสูตรการจัดการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการ รุ่น 14
เราเรียนรุ่น 14 เริ่มเรียนมิถุนายน มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรเดือนสิงหาคม และวันนี้วันดี เป็นวันสอบ และสัมมนา เพื่อจบหลักสูตร ในวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งก็ไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลย พอดีบริษัทเราลูกค้ามา 😕 แต่ตัวการบ้านและตัว proposal ได้ส่งอาจารย์ที่ปรึกษา (ซึ่งไม่ได้ปรึกษาหรือรับ feedback อันใดเลย) นามว่า อาจารย์ปริวรรต แล้ว ไม่แน่ใจว่าคะแนนการบ้านและโครงการผ่านหรือไม่ แต่คิดว่าถ้าสอบผ่านก็น่าจะจบโดยสมบูรณ์หล่ะ เรื่องหลักสูตร เนื้อหา จะอธิบายภายหลังนะ กลัวเนื้อหามันเยอะไป
การจะจบหลักสูตรนั้น มี 3 ส่วน คือ
1. การบ้าน มีบทเรียนอยู่ 8 บท ทำให้ครบตามตารางที่เขาวางไว้
จะทำส่งเล่มไป หรือพิมพ์ส่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้
2. ข้อเสนอโครงการ ทำแล้วไปยื่นขอทุนจริงได้เลย ตามนี้
3. สอบจบ ข้อสอบมี 30 ข้อ เป็นปรนัย ต้องผ่าน 60% ขึ้นไป นั่นคือคะแนนขั้นตํ่า 18 ข้อขึ้นไป
การส่งงาน ของรุ่น 14 ส่งวันสุดท้าย 20 พฤศจิกายน ถ้าไม่ทัน ต้องก่อน 14 ธันวาคมถ้าสอบผ่านก็ได้วุฒิบัตร ถ้าไม่ผ่านมีสอบซ่อม คือ มีการบ้านไปทำที่บ้าน
ลงทะเบียนได้เอกสารมาดังรูป มีปากกาแท่งนึง และได้เจอหลายๆท่านเลย ทั้งบางท่านที่เจอจากกิจกรรมอื่นๆ และท่านที่เพิ่งเจอวันนี้ รวมทั้งรุ่นพี่รุ่น 13 ที่มาสอบในวันนี้ด้วย รุ่น 14 บางท่านก็ไม่ได้มาสอบเนื่องจากติดธุระส่วนตัว
เรื่องการบ้านในกรุ๊ปไลน์บ่นกันว่าทำไม่ทันบ้างหล่ะ proposal ก็ไม่เสร็จบ้างหล่ะ
ก่อนสอบได้เห็น proposal ของพี่ศิริ พี่เขาเขียนละเอียดมากๆ เพื่อนำไปขอทุนด้วย
อาจารย์เชาวลิตได้กล่าวถึงการสอบในวันนี้ ให้เราศึกษาจากหนังสือไปเรื่อยๆ อย่าทิ้ง เพราะครบทุกองค์ความรู้ที่ต้องใช้
คุณกนชกล่าวเปิดงานในวันนี้
- มีวิทยากรมาพูดเรื่องมีดกรีดยาง ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบ มีดมีองศาพอดีกับน้ำยาง
- เราต้องมี value จากลูกค้า customer centric สร้างโอกาสขึ้นมา trial error ขอทุนจาก NIA ได้
จากนั้นสอบคะ ข้อสอบแบ่งเป็นชุด A และ B เริ่มสอบ 9:15-10:00 ใช้เวลา 45 นาที
บรรยากาศการสอบ เป็นแบบนี้ ตั้งใจกันสุดๆ
ตัวข้อสอบ ง่ายๆคือเน้นเรื่อง key message ของแต่ละบท ก็คือการบ้านเรานี่แหละ มีคิดวิเคราะห์จากโจทย์จากบทความ ถามอันไหนถูก อันไหนผิด เน้นประยุกต์นิดหน่อย สอบเสร็จออกมาเม้ามอย ทานอาหารว่าง นั่งดูบูธผลิตภัณฑ์ที่ได้ทุนจาก NIA พอสังเขป
10:30 การบรรยายเรื่อง นวัตกรรมและกลุยุทธ์ในการจัดการนวัตกรรม โดยอาจารย์ชัยธร ลิมาภรณ์วณิช เนื้อหาสาระอัดแน่น มีไฟล์สไลด์มาให้ทบทวนทีหลังด้วย ข้อเสียคืออาจารย์พูดไวไปนี่แหละคะ สติคนฟังกระเจิงเลย (และอาจารย์ได้ feedback แล้วจากพี่นุ้ย)
Session นี้มี 6 หัวข้อ คือ
1. นวัตกรรมคืออะไร
2. แปลง idea หรือ customer need เพื่อทำให้ขายได้
3. ปัจจัยขององค์กร
4. ปัจจัยความสำเร็จ มีเป็น checklist
5. idea ปัจจุบันที่ออกมาเป็น service
6. การทำตลาดในรูปแบบใหม่
1) What is innovation?
- นวัตกรรม คือ การใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดคุณค่า
- เปลี่ยนจากนักคิดเป็นไอดอล เปลี่ยนคนธรรมดาเป็นเศรษฐี และเปลี่ยนสินค้าพื้นบ้านเป็นสินค้าแบรนด์ดัง
- เน้น wealth of nation ซึ่งเป็นรายได้ของประเทศ ผลที่ได้ คือ รูปแบบธุรกิจใหม่ กระบวนการใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ และบริการใหม่
- innovation + productivity = ทำให้ประเทศเคลื่อนไปได้
- แบ่ง innovation กับ productivity ออกจากกัน ฝั่งซ้ายนอกจากจะมี creating innovative product แล้ว ต้องทำให้ขายได้ด้วย
- นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เช่น
1. เก้าอี้พลาสติก เพิ่มวิธีการขึ้นรูปเพื่อให้ได้รูปร่างที่ซับซ้อน
2. นวัตกรรมข้าวไทย เอาข้าวไปทำเครื่องสำอาง
3. สารสกัดจากหอยเป๋าฮื้อ เลี้ยงในระบบปิด เดิมส่งร้านอาหาร แต่มีตัวเล็กๆที่หลุดสเปกเลยมาทำเป็นคอลลาเจนแทน
4. กล้วยไม้ เปลี่ยนจากขนส่งทางอากาศ ที่ส่งได้ไม่เยอะ มาเป็นทางเรือ ซึ่งส่งได้เยอะกว่าและราคาถูกกว่า แต่ใช้เวลานานกว่า จึงมีคอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิ
5. ลำไยอบกรอบ เป็นการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มคุณค่า คนจีนชอบมากกกก ตอนนี้บริษัทให้จีนไปแล้ว ได้ราคาสูงถึง 20 ล้านบาท
2) Turning customers’ needs to deliverable value
- มาเริ่มที่ IPO model : input -> process -> outputinput มาจาก idea และ customer need
- ค้นหาไอเดียใหม่ : input
ทักษะการค้นหาไอเดีย
1. Curious : การตั้งคำถาม เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสิ่งสำคัญในการทำนวัตกรรม
2. Observant : เข้าไปสังเกต ดูวิธีการ จากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
3. Associative : หาข้อมูล ไปพูดคุยกับผู้ใช้จริง ว่าที่เราคิดทำนั้นตรงกับเขาอย่างไร ทำได้ไหม
4. Hand on : ทดลอง
5. Connecting : ผลิตจริง หา supplier หาคนที่ทำให้ไอเดียของเราเป็นจริง
ตัวอย่างของการนำ 5 สิ่งมาทำให้เป็นจริง
- เปลี่ยน idea ให้เป็นผลิตภัณฑ์จริง ได้อย่างไร : process
product conception มาจากข้อเมื่อกี้ ส่วน product approval และ product development ใช้ทุนสูง
ส่วน life cycle ก็ดูจากตารางนี้ได้เลย เช่น profit มักจะได้ตอนผ่านตัว introduction ซึ่งอาจจะตกได้เนื่องจากตลาด และสาเหตุอื่นๆ
introduction คือเริ่มแรกที่เรานำผลิตภัณฑ์ของเราออกสู่ตลาด เช่น เอาอาหารแบรนด์ของเราไปขายตลาดนัดก่อน เพื่อนำไปต่อยอดได้ เป็นช่องทางแรกเลยที่ขาย (ส่วนตัวคิดว่ามีหน้าร้านให้คนมาซื้อได้ และมีความน่าเชื่อถือด้วย)
introduction -> วางแผนทำ production ให้ดี มีการเติบโตของตลาดปรับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม และแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่ม อาจจะใช้ trail ให้ลองก็ได้
- สร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ : output
การกำหนดรูปแบบเชิงกลยุทธ์ business model เป็นตัวตั้งคำถามสิ่งที่เราจะทำ เป็น who what how
ตัวอย่างคือ ตลาด supermarket นี่แหละ MaxValu เขาเป็น supermarket อยู่แล้ว แต่แตกไลน์เพิ่มมา คือ MaxValu Tanjai เป็นลูกผสมระหว่าง convenience store กับ supermarket เน้นครอบครัวขนาดเล็กสมัยใหม่ ที่อาศัยในคอนโด ขายของที่ร้านสะดวกซื้อไม่มี แต่ไม่ต้องไปไกลถึง supermarket
เราใช้ business model canvas ในการสรุปไอเดีย โดยแบ่งส่วนตามรูปเลยเนอะตัวอย่าง business model canvas คือ เครื่องทำกาแฟ nespresso ขายออนไลน์โดยคนซื้อสมัครสมาชิก นอกจากขายเครื่อง ยังมีขายแคปซูลกาแฟด้วย โดยมี partner เป็นโรงงานผลิตเครื่อง กับคนผลิตเมล็ดกาแฟ
3) Organizational supports ปัจจัยที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ ต้องมีอะไรบ้าง เกิดจากการลงมือทำ
มี 8 ข้อ ดังนี้
1. นวัตกรรมเริ่มที่ผู้บริหาร (เนื่องจากมีอำนาจมากสุด) และวัฒนธรรมองค์กร
2. นวัตกรรมเกิดขึ้นได้ทุกที่ สิ่งแวดล้อมต้องเอื้อต่อการคิดนวัตกรรม และทุกคนมีส่วนร่วมในการคิดนวัตกรรม
3. ทุกคนต้องร่วมมือกันเป็นทีมเดียวกัน
4. นวัตกรรมไม่ง่าย แต่เกิดขึ้นได้ ใช้ resource กับ effort
5. นวัตกรรมอยู่บนความจริง รับฟังความเห็นของคนอื่น อย่าตำหนิเมื่อไอเดียเราไม่เข้าท่าสำหรับเรา ยอมรับความเสี่ยง เรียนรู้จากความผิดพลาด
6. อะไรที่เคย work กับอีกที่ อาจจะไม่ work กับเราก็ได้
7. ลูกค้าอาจจะไม่ถูกเสมอไป แต่ความต้องการปัจจุบันของลูกค้า เราต้องตอบโจทย์เขาให้ได้
8. innovation ต้องเร็ว Fail Early – Fail Fast – Fail Smart – Fail Inexpensively
4) Key drivers to success
ตัวอย่างในที่นี้ คือ นํ้าเต้าหู้ตรา tofusan ซึ่งเป็นแบรนด์โปรดเราเลย เป็นนํ้าเต้าหู้ผสมฟองเต้าหู้ ในตอนแรกขายที่วิลล่า เพื่อเจาะตลาดคคนมีกำลังซื้อและรักษาสุขภาพ ตอนหลังมีหลายรสมากขึ้น จนปัจจุบันมาขายนํ้าเต้าหู้พร้อมดื่มใน 7-11 แล้ว
อันนี้อาจารย์ได้ฝากไว้ ส่วนใหญ่จะเน้น food product นะในนี้ แต่เอาไปใช้ได้
5) Service Innovation
ในส่วนนี้อาจารย์พูดถึง GDP ว่ามาจากอะไร แบ่งเป็น การเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมบริการ ประเทศที่เจริญแล้วจะได้ GDP มาจากอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งกินเปอร์เซนต์มากกว่าครึ่งทีเดียว
ดังนั้นจะเน้น service มากกว่าซื้อมาขายไป
ความแตกต่างแบบย่อๆ product เป็นสิ่งที่จับต้องได้ service จับต้องไม่ได้
ตัวอย่าง IBM จากที่ขายเครื่อง มาเปลี่ยนเป็นบริการ iTunes ทำเงินจากการขายเพลงจากใน platform
อีกตัวอย่าง คือ โรงแรมเจอปัญหาจากการใช้สบู่ของแขกที่มาพัก ใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพราะทางโรงแรมต้องเปลี่ยนให้ใหม่ เลยลดขนาดลง มีหลายแบบตามคาแรทเตอร์ของโรงแรม แต่ก้อนเล็กไปใช้ไม่สะดวก สิ่วที่โรงแรมต้องการ คือ มีสบู่ให้แขกอาบนํ้า ดังนั้นมาเป็นสบู่เหลว ทีนี้มีค่าใช้จ่ายตามมาในเรื่องของตัวกดสบู่เหลว และโรงแรมต้องมีค่า maintenance ตรงนี้ สุดท้ายมาเป็นธุรกิจบริการ ให้โรงแรมเช่าเครื่องกดสบู่ ถ้าสบู่เหลวหมดทางนี้จะมาเติมให้
6) Marketing Innovation
ใช้สื่อกระดาษน้อยลง หันมาใช้สื่อดิจิตอลมากขึ้นลูกค้าเดี๋ยวนี้มีบทบาทมากขึ้น เป็นสื่อ ทั้งในการ month-to-month, pantip, blog reviewFacebook สามารถตรวจสอบ influence ด้วย keyword ว่าของใครเยอะ มี feedback อะไรบ้างตอนนี้ 4P ไม่พอแล้วนะ ใช้ funnel model แทน คือโมเดลรูปกรวยนั่นแหละ
marketing of innovation เน้น brand royally ใช้ digital marketing เป็นหลัก
บรรยากาศการเรียนใน session นี้ ทุกคนตั้งใจกันมาก
เวลาเหลือ 10 นาที มี recap กันด้วย ที่จดทัน ประมาณนี้
- ความสำคัญของนวัตกรรม
- product เราอาจจะแข่งกับประเทศอื่นไม่ได้ เลยสร้างนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และผู้ประกอบการสร้างคุณค่า
- ใช้ IPO model ในการคิดนวัตกรรม
- ดู product life cycle
- business model
- 9 ปัจจัยความล้มเหลว
- มีองค์ประกอบภายในองค์กรอะไรบ้าง
จากนั้นทานอาหารเที่ยง ก่อนทานอาหารเที่ยงมีข่าวดีและข่าวร้าย นั่นคือคะแนนสอบออกมาแล้วนี่เอง
คะแนนคนผ่านส่วนใหญ่เกาะกลุ่มกัน 18 19 20 คนได้ท็อปคือ 20 เต็ม 30 นั่นแหละ เราได้ 18 โชคดีที่ผ่าน 555 ส่วนคนที่ไม่ผ่าน คะแนนค่อนข้างกระจายๆ น้อยสุดน่าจะ 11 มั้งที่เราเห็น หลังทานอาหารเที่ยงก็รับการบ้านกันไป
อาหารมื้อนี้ ไก่ทอดเค็มและเหนียวไปหน่อย ส่วนปลาดุกผัดเผ็ดเป็นอาหารที่ไม่สันทัดโดยส่วนตัว สลัดกุ้งอร่อย ที่นี่ขุนอาหารพวกเราทุกครั้งที่มา ทานของคาวไม่เคยหมด ส่วนของหวาน น้อยครั้งที่จะได้ทานเพราะอิ่มของคาวก่อน
เสวนาประกอบประสบการณ์พัฒนาโครงการและการดำเนินธุรกิจนวัตกรรมของผู้ประกอบการ สนช และการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคุณมะนายิ ราหู บริษัท แอนวานซ์คิว จำกัด ผู้ผลิตต้นแบบมีดกรีดยางตรานกเงือก เป็น session ที่เปิดโลกมา เกิดมาไม่เคยทราบมาก่อน สนุกดี
ก่อนอื่น เลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆ และชักภาพก่อนคะ
และมีเอกสารจากทางมีดกรีดยางตรานกเงือกมาแจกด้วยย
บนเวทีมีพี่ป๋อเป็นผู้ดำเนินรายการ และมีพี่เด่น รุ่น 14 เป็นผู้ดำเนินรายการร่วม
- คุณมะนายิ เป็นคนนราธิวาส ทำสวนยาง เรียกได้ว่าชีวิตคุ้นเคยกับสวนยางในระดับ expert เกิดปัญหาในการทำสวนยาง คือ เปิดสวนให้ชาวบ้านมาช่วยกรีดยางมา 15 ปี ต้นยางมีปัญหาต้องโค่นทิ้ง เพราะต้นยางเสียหมด กรีดแล้วไม่ได้ยาง เรียกได้ว่าต้นยางได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เลยคิดมีดใหม่ที่มาช่วยแก้ปัญหานี้ คุณมะนายิคิดว่าปีนึงน่าจะออกแบบเสร็จใช้งานได้ อีกปีเปิดตลาด แต่ปัญหาของสวนยางมีปัญหามากกว่าที่คิดไว้ ทำให้มีดนี้ใช้เวลาการออกแบบ 7 ปีด้วยกัน
- มีดที่ใช้กรีดยาง เป็นมีดเฉพาะ ชื่อว่า มีดเจ๊ะบง กรีดโดยการจิกหรือกระตุก มีมานานกว่า 100 ปี จากประเทศอังกฤษ
- คุณมะนายิคุยกับชาวบ้าน 100 คน ว่าเจอปัญหาอะไรบ้าง เก็บรายละเอียดต่างๆที่ผู้เกี่ยวข้องใช้ เช่น
1. เรื่องความคมของมีด ต้องคมแบบไหน ซึ่งคมแบบใช้มือคนทำไม่ได้ 95% ลับมีดเอง ทิศทางของมีดเปลี่ยนไปทุกวัน องศาการกรีดก็เปลี่ยนไปด้วย จึงต้องพึ่งอุตสาหกรรมในการทำเรื่องมีด เลยเป็นระบบใบมีดโกน
2. ใช้เวลานาน
3. องศาของการกรีดยาง
4. ต้นยางแต่ละพันธ์มีวิธีกรีดยางไม่เหมือนกัน ทั้งท่ากรีดเอย การดึงมีดเอยย - สถิติเมื่อก่อนมีมีดนี้ 500ต้นต่อวัน ปัจจุบัน 1000 ต้นต่อวัน วันนึงน่าจะ 4 ชั่วโมงในการกรีดยางมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ไม่ได้กรีดกันทั้งวัน 1000 ต้นนะ
- เมื่อได้ข้อมูลจากการสำรวจและลงพื้นที่ นำมา summary แล้ว มาประกอบร่างเป็น product ดังนี้
1. กบไสไม้ ผู้ปรับความหนาบาง
2. มีดโกน สามารถเปลี่ยนใบมีดได้
3. มีดกรีดเจ๊ะบง ระบบลาก
นำข้อดีของทั้งสาม ออกมาเป็น มีดกรีดยางตรานกเงือก
ทำไมถึงตรานกเงือก เพราะอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส มีนกเงือกเยอะ เลยเป็นชื่อนี้
ตัว prototype แรก เป็น handmade ทั้งหมด ซึ่งราคาปัจจุบันของตัว prototype แรก อยู่ที่ประมาณ 6-7 หลักเลยทีเดียว - สรุปจากพี่ป๋อในช่วงนี้ : ศึกษาให้ลึกซึ้ง + pain point + solution + ทดสอบ/ทดลอง
- ปัจจุบัน ขายไป 10 ประเทศ ซึ่งทางบริษัทภูมิใจที่ได้ขายที่มาเลเซีย เนื่องจากเป็นเจ้าวิทยาการ ตลาดไม่เหมือนบ้านเรา คือ บ้านเราเป็นสวนยางรายย่อย แต่ทางมาเลย์ อินโด เป็นสวนยางรายใหญ่ มีการเก็บสถิติเป็นระบบในเรื่อง productivity ของมีดกรีดยาง ว่าแต่ละปีได้นํ้ายางเท่าไหร่ เพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ มีฝึกอบรมทุกปี
- องค์ประกอบในการกรีดยาง
1. มีดคม : มีดไม่คมทำให้กรีดหนา ได้นํ้ายางน้อย มีดกรีดยางตรานกเงือกใช้ง่านกว่า ใช้แรงน้อยกว่า
2. ฝีมือดี - ต้นยางใช้เวลาปลูก 6-7 ปี ถึงจะมาทำมาหากินได้ มีค่าใช้จ่าย 40,000 บาทต่อไร่ (อันนี้ไม่แน่ใจว่ารายปีรายเดือนเท่าไหร่ยังไงนะคะ)
- มีดกรีดยางตรานกเงือกนั้น ได้ปฎิวัติวงการการกรีดยาง ซึ่งต่างจากมีดเจ๊ะบง คือใช้ลากเอา ได้หมดทุกมุม เรื่องราคานั้น เทียบเท่าหรือน้อยกว่ารุ่นเก่า ดังนี้
> มีดเจ๊ะบง 700 บาท รวมทุกอย่าง
> มีดกรีดยางตรานกเงือก ตัวด้าม 390 บาท พร้อมใบมีด 1 ใบ ใบมีด มี 2 แบบ คือ แบบมาตรฐาน กับแบบเบตง กล่องนึงมี 5 ใบ 1 ปีใช้ 5 กล่อง ราคารวม 600 บาท ใบละ 24 บาท ใบนึงกรีดได้ 4000 ต้น ใบมีดเก่าสามารถใช้แทนเงินสดได้ 1 บาท ในการซื้อใบมีดครั้งต่อไป ตัวในมีดเป็นสเตนเลส เกรดเดียวกับเครื่องมือแพทย์เลยนะ
มีไฟที่ด้ามด้วยนะ กำลัง develop อยู่ ราคา 170 บาท ใช้แทนไฟที่อยู่ตรงหัวคนกรีดนั่นแหละ
ในด้าน productivity การใช้มีดกรีดยางตรานกเงือก ได้ value กลับมามหาศาล เพราะได้นํ้ายางเพิ่มขึ้นจากแบบเดิม ทำให้การทำสวนยางนั้นยั่งยืน
ระหว่างนั้นคุณมะนายิได้สาธิตการใชีมีดกรีดยางนี้แบบเบาๆคะ
ภาพจากพี่อุบุลรัตน์คะ
และคลิปวิดีโอด้านล่าง อาจจะไม่ค่อยเห็นอะไรเพราะเรานั่งหลังคะ
- ในไทยมีสวนยาง 20 ล้านไร้ ใช้มีดกรีดยางตรานกเงือกนี้ได้ยางใหม่เพิ่ม 20% โดยไม่ต้องไปปลูกต้นยางใหม่ อายุการกรีดยางเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เท่ากับว่าต้นยางจะมีอายุ 50 ปี
- สรุปจากพี่ป๋อในช่วงนี้ : หาทีมที่ support กัน เพราะคนเราไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
- ช่วงนึงที่คุณมะนายิทำ prototype มีดอยู่ แกขึ้นมาที่กรุงเทพเพื่อหาโรงงานทำใบมีดนี้ เดินหาโรงงานแบบสุ่มๆ แต่ยังไม่ได้โรงงานที่รับทำใบมีดกรีดยางสักที เลยมาที่ NIA เพราะคิดว่าน่าจะช่วยเหลือในส่วนนี้ได้ เลยได้มาเจออาจารย์มณฑา และได้พูดคุยกับ ทางอาจารย์ได้ช่วยเหลือทั้งในด้านขอให้หน่วยงานช่วยทดสอบ เรื่องโรงงานผลิต และคุณมะนายิได้ทุนในการทำต้นแบบ ซึ่งแกขอไป 50,000 บาท เข้าโครงการแปลงเทคโนโลยีเป็นทุน ซึ่งโครงการนี้จ่ายมากสุด 75% ของเงินโครงการทั้งหมด ส่วนใหญ่จะออกกันคนละครึ่ง
- การทำตลาด แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. ในประเทศ : เป็นกลุ่มสวนยางรายย่อยในประเทศ มีร้านค้าในจังหวัดที่มีสวนยาง เป็นตัวแทนจำหน่าย มีทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ
2. ต่างประเทศ : มีบริษัทตัวแทนดูแลการขาย เจาะสวนยางขนาดใหญ่ - มีตัวแทนในพื้นที่และมีการฝึกอบรม โดยการลงพื้นที่ไปหลายๆครั้ง เพื่อขยายฐานคนใช้ให้มีมากขึ้น ส่วนใหญ่จะซื้อมีดกรีดยางกันเอง ดังนั้นบางสวนมีแจงจูงใจโดยการเพิ่มเงินให้คนใช้มีดนี้ เนื่้องจากได้นํ้ายางเยอะกว่ามีดเจ๊ะบง และมีการทำตลาดออนไลน์ เพราะเขาก็ใช้ smartphone กันเยอะ มีเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมด้วย
- เรื่องราคาขายจะขายเท่าๆกันทุกพื้นที่ ถ้าพื้นที่ไหนไกล เช่น ปีนภูเขาไป หรือเดินทางยาก ต้นทุนตรงนี้สำหรับตัวแทนจะสูงขึ้น ราคาขายจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตัวแทนจำหน่าย
- คุณมะนายิจดสิทธิบัตรที่ไทยที่เดียว ถามว่าทำไมถึงจดที่เดียว เจอคนเลียนแบบ product ไหม
คำตอบคือ มีคนเลียนแบบ ที่อินโดมีตราค้างคาวด้วยนะ แต่ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไม่เท่ากัน ค้างคาวเลยไม่รอด คู่แข่งคือมีดกรีดยางเจ๊ะบงแบบเก่า
- เป็นการเปลี่ยนระบบการกรีดยาง ลดการลับมีดลง 1 ชั่วโมงในทุกวัน มีปัญหาคือ คนต้องเปลี่ยนระบบและความเคยชินแต่เดิม ดังนั้นในระบบใหม่นี้ มีดกรีดยางตรานกเงือกเป็น leadership ในตลาด
- ด้วยความที่คุณมะนายิถือตัวด้ามที่เป็นไม้ พูดถึงมีดกรีดยางประจำตัว เหมือนช่างผมอะไรงี้ อาจจะทำด้ามสวยๆ มีคนเสนอไอเดียแกะสลักชื่อเจ้าของบนด้ามไม้
- มีคนเสนอไอเดียแข่งกรีดยางโดยใช้มีดนี้ ซึ่งทางบริษัทก็มีอยู่ วัด productivity กันไป
- มีแพลนที่จะทำสวนยางตัวอย่างด้วย เพื่อบอกว่า ใช้มีดนี้แล้วได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นนะเออ
ก่อนจบมีการกล่าวขอบคุณ และปิดด้วยคนสำคัญท่านนึงของมีดกรีดยางนี้ อาจารย์มณฑานั่นเอง
เมื่อจบ session มีการมอบของที่ระลึกคะ
จากนั้นได้เวลาของว่าง สำหรับผู้สนใจมีดกรีดยางตรานกเงือก เขามีกรีดยางโชว์ด้วยนะ
เนื่องจากได้รับเนื้อหาสาระมาหนักหน่วงทั้งวัน session สุดท้ายจึงมาแบบเบาๆชิวๆ
โดยอาจารย์กำพล และอาจารย์มณฑา ซึ่งเป็นสองในสามอาจารย์ที่ปรึกษานั่นเอง ส่วนอีกท่าน ก็ที่กล่าวไปตอนต้นนั่นแหละ....... โหลดงานในส่วนนี้อะหรอ เยอะคะ นักเรียนกว่า 80 ชีวิต ต่ออาจารย์ที่ปรึกษา 3 ท่าน
- ความถนัดและความสนใจของอาจารย์แต่ละท่านอาจารย์กำพล : process พลังงาน ซึ่งให้ความคิดเห็นในภาครวม ให้ความดูแลเอาใจใส่นักศึกษาดีมากๆ ถึงขั้นจดชื่อและบันทึกไว้เลยทีเดียวอาจารย์มณฑา : ความถนัด คือ วัสดุ ชีวภาพ ยาง และความสนใจ คือ ผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งอาจารย์จะดูความเป็นไปได้ของโครงการ
- อาจารย์กำพลกล่าวไว้ว่า รุ่นนี้ยังไม่มีใครส่งการบ้านมาให้แกแม้แต่คนเดียว (ในส่วนของอาจารย์เนอะ)
- กลไกต้องดูไปตาม project ที่เราสนใจ
- NIA มีเครือข่ายนักวิชาการ จัดกิจกรรมให้คนมาเจอกัน แต่ตอนสำนักงานอยู่ในกระทรวงวิทย์ ตอนนี้มีตึกสวยๆเป็นของตัวเองแล้ว หน่วยงานมีการขยายตัว และ แบ่งงานให้แต่ละคนรับผิดชอบเป็นส่วนๆไปเลย เช่น ฝ่ายกิจกรรม ฝ่ายวิชาการ ประมาณนี้
- มีประเด็นเรื่องอาหาร ทำอย่างไรให้ไม่ให้คนเลียนแบบ นั่นคือ การแยกชิ้นผลิต อย่างน้องสาวอาจารย์กำพลทำโปรเจกเรื่องข้าวแต๋น ก็สั่งผงปรุงรสจากโรงงานนึง เพื่อเอาไปทำในอีกโรงงานนึง (นึกถึงสภาพโรงงานรถมาทันใด)
- มีคนถามเรื่องการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร มีทริคเล็กๆ คือ บอกแค่รายละเอียดคร่าวๆ เช่น ใช้สาร A 10-20 กรัม บอกเป็น range ไป บอกขั้นตอนคร่าวๆให้เห็น process เฉยๆ เก็บ secret key และ know-how ของเราไว้ ไม่ให้คนอื่นมาเลียนแบบ เนื่องจากเอกสารพวกนี้เป็นเอกสารเปิดเผย
- การฟ้องร้องเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ต้องมีเวลาและเงินมากพอ ดังนั้นควรใช้ทริคด้านบนอย่างยิ่ง
- "ทุนไม่หนา สายป่านไม่ยาว จะโดนปลาใหญ่กิน" สร้างแบรนด์เราให้แข็งแรง
- กรมทรัพย์สินทางปัญญหามีเทรนเรื่องสิทธิบัตรด้วย NIA มีหน้าที่ในการประเมนราคาให้อย่างเดียว
สุดท้ายมีการชักภาพที่ระลึกร่วมกัน แต่ข่าวที่ไม่ค่อยดีสำหรับเรา คือ ไม่มีใครได้วุฒิบัตรกลับบ้าน เนื่องจากทางหลักสูตรเพิ่งจะได้คะแนนจากอาจารย์ที่ปรึกษาเรานั่นเอง แต่ทางสำนักการศึกษาทางไกลได้จัดพิมพ์ให้ทุกท่านแล้ว เหลือด้านหลังที่กรอกคะแนนของแต่ละท่าน จึงขอปิดท้ายด้วยรูปดุ๊กดิ๊กแบบนี้ (แต่แชร์ลงกรุ๊ปไลน์กลายเป็นวิดีโอเฉย อากู๋ไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใดเลย)
ก่อนกลับบ้าน ให้ส่งแบบประเมินพร้อมคินป้ายชื่ออาจารย์ปริวรรตได้ฝากคืนแบบฝึกหัดและข้อเสนอโครงการของเราที่ส่งไปแล้ว
ขอขอบคุณ
- สำนักงานการศึกษาทางไกล และสำนักงานนวัตกรรมสำหรับหลักสูตรนี้ ที่เหมาะกับผู้เริ่มต้นธุรกิจ และผู้สนใจ
- พี่ๆ NIA ทุกท่าน ทั้งพี่ป๋อ พี่อุ๋ม พี่ปุ้ย คุณกนช คุณกันต์ อาจารย์และวิทยากรทุกท่าน และเพื่อนๆร่วมหลักสูตรทุกท่านนะคะ ที่ดูแลเอาใจใส่กัน เจอหลายครั้งรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเป็นบ้านเล็กๆที่แสนอบอุ่นอีกหลังหนึ่ง
- รูปภาพของทุกท่านในกรุ๊ปไลน์ที่เอามาใส่แล้วลืมว่าของท่านใด