Key takeaway จากคอร์ส How to Become a Top Performer
ทาง Skooldio ได้เปิด online course ใหม่ที่ชื่อว่า How to Become a Top Performer ซึ่งเป็นคอร์สเรียนฟรี ใช้เวลาเรียนประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก็เลยทำ Key takeaway ว่าเราได้อะไรจากคอร์สนี้บ้าง
คอร์สนี้เป็นคอร์สใหม่ล่าสุดของทาง Skooldio เลย สอนโดยคุณอานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ VP of People, LINE MAN Wongnai และเป็นเจ้าของเพจ Anontawong's Musings
คอร์สออนไลน์สั้นๆนี้ ทำให้เราได้แนวคิดและมุมมองของการเป็นพนักงานตัวท้อปขององค์กร และไม่ใช่แค่ตัวพนักงานคนเดียวเท่านั้น องค์กรก็ต้องช่วย support พวกเขาด้วยน้า win-win ไปด้วยกัน
โดยตัว fundamental เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเราต้องมี และส่วน add-ons คือสิ่งที่เรามีเพิ่มเติม เพื่อความเป็น Top Performer ที่แข็งแกร่งนั่นเอง
The Fundamentals
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเป็น High Performer
1. Ownership
ความเป็นเจ้าของงานชิ้นนั้น
เรารู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ และอยากทำงานให้งานนั้นออกมาดี ทำงานออกมาเพื่อให้รู้ว่างานนั้นมีคุณค่าต่อตัวเรา ต่อองค์กรเรา และต่อลูกค้าด้วย
และเป็นคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่กลัวงานหนัก และไม่ทิ้งงานกลางทาง ไม่ยอมแพ้จนกว่างานนั้นจะสำเร็จ
ทำอย่างไรให้พนักงานมี Ownership?
- องค์กรจะต้องมี vision ที่เร้าใจ น่าเชื่อถือ มีคุณค่า มีคุณค่า โดยที่ CEO หรือผู้บริหาร เป็นคนสื่อสารออกไป เพื่อให้พนักงานรู้ว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน เราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร
- พนักงาน เป็นคนที่ใช้ได้ด้วย มีสปีริตในการทำงาน ตื่นมาแล้วรู้ว่าทำสิ่งนี้เพื่ออะไร ใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ทั้งต่อตัวเอง เพื่อร่วมงาน คนข้างนอกด้วย
2. Expertise
ความรู้ลึกรู้จริงๆในงานที่ตัวเองทำ
เป็นคนนํ้าครึ่งแก้ว เป็นคนถ่ายทอดจริงใหม่ๆให้เพื่อนๆ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน ไม่กั๊กความรู้ ทำให้เป็นเทพในด้านนั้นๆ
ทำอย่างไรให้พนักงานมี Expertise ในด้านนั้นๆมากยิ่งขึ้น?
- องค์กร ให้โอกาสให้พนักงานให้ได้ทำงานยากขึ้นเรื่อยๆ และมีการ support การเรียนรู้ใหม่ๆของพนักงาน เช่น มีเครื่องมือให้ มีคอร์สให้เรียนเสริม ทำให้เขาเก่งขึ้นในงานที่ทำ
- พนักงาน จะต้องมีความใฝ่ดี อยากจะเก่งด้านนี้ขึ้นเรื่อยๆอีกในเรื่องที่เขาสนใจ อยากรู้ลึกรู้จริง มีความสุขในการพัฒนาตัวเองขึ้นมา
3. High Work Quality
เป็นคนใส่ใจในคุณภาพของงานแต่ละชิ้นเสมอ
ไม่ทำงานชุ่ยๆ เป็นคนทำงานแล้วไม่ต้องแก้ ทำให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และทำงานแล้วไม่เสียเวลา
คนที่คราฟงานออกมาดี ทำให้คนในทีม appreciate และ spark joy เสมอ
องค์กรจะมีส่วนช่วยทำให้พนักงานทำงานให้มีคุณภาพที่ดีมากขึ้นได้อย่างไร?
- หัวหน้างานหรือผู้บริหาร จะต้องมีมาตรฐานสูงไว้ก่อน set มาตรฐานว่าอะไรคือสิ่งที่ดีพอในแต่ละองค์กร ไม่ปล่อยให้งานชุ่ยๆออกมา หรือความเร่งด่วนหรือเร่งรีบทำให้งานแต่ละชิ้นออกมาไม่ได้มาตรฐานตามที่ควรจะเป็น
4. Grit
อดทน จิตแข็ง
เป็นสิ่งจำเป็นมากในยุค new normal ที่มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ก้าวไปสู่ดินแดนใหม่ๆ คือ งานใหม่ๆที่ไม่เคยทำ challenge ใหม่ๆที่ไม่เคยเจอ จะต้องมีความทนทานสูงมาก แพ้แล้วไม่ยอมแพ้ต่อ กลับมาใหม่ โดนดุแล้วใจไม่ห่อเหี่ยว กลับมาเรียนรู้ หาทางไปต่อให้ได้
แล้วจะมี grid เพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
เรียนรู้จากคนที่อยู่มาก่อนเรา หรือคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเรา ว่าเขาทนมาแค่ไหน เขามีอะไรที่เรายังไม่มีบ้าง คนที่มี grid เป็นคนที่อยู่ที่ใดที่นึงได้นาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร
05 High Impact
โฟกัสที่ผลลัพธ์ และสร้างผลงานอย่างแท้จริง
เป็นข้อสำคัญที่สุดใน 10 ข้อ เพราะเป็นตัวกำหนดว่าเรามีโอกาสเติบโตในองค์กรได้มากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น เราต้องระลึกเสมอว่าเราไม่ได้มาทำงานเพื่อที่จะแค่ให้งานมันเสร็จไปเรื่อยๆเฉยๆ แต่เราทำงานเพื่อจะโฟกัสที่ผลลัพธ์ว่า มันสร้างคุณค่าให้กับองค์กรอย่างไรบ้าง
แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไรว่า งานที่เราทำนั้น เป็นงานที่มี high impact?
ถ้าเราทำงานได้ดี จะมีคนมาชมเรา
“ถ้าเราทำงานดี ผลงานที่ดีจะคุ้มครองตัวเราเอง” – คุณยอด CEO ของ LWMN เคยกล่าวไว้
องค์กรที่มีคุณภาพและมีอนาคต คนที่มี high impact เติบโตได้อย่างดีอยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าเราทำได้ดีแล้วหรือยัง เพราะเราจะรู้เองจากคนรอบข้าง
The Add-ons
เป็น bonus ขึ้นมาจาก 5 ข้อแรก
1. Speed
ความเร็ว
ยุคของปลาเร็วกินปลาช้า ประกอบด้วย 3 มิติ คือ
- คิดแล้วทำทันที เพราะคนเราเวลาเราช้า ไม่ได้ช้าตอนทำ ช้าตอนกลัว ไม่มัวลังเล รอทุกอย่างพร้อม
- ทำแล้วทำให้เสร็จ มี focus
- ทำเสร็จแล้วเจอข้อผิดพลาด ไม่ผิดพลาดซํ้าสอง เรียนรู้ใหม่ได้ตลอดเวลา
ให้ความสำคัญกับงานที่มีคุณภาพดี มาก่อน speed
ทำยังไงให้ดีขึ้น
- อย่า multitasking มากเกินไป มีต้นทุนในการทำ switch cost พยายามทำทีละอย่าง
2. Proactiveness
มีความคิดริเริ่มและชอบนำเสนอ
อะไรคือต้นเหตุ และทางออกที่เป็นไปได้ แต่ต้องดูแลงานของเราให้ดีก่อน และรู้ใจว่าหัวหน้าและทีมต้องการอะไร
3. Generosity
ความใจกว้าง
พอเราเริ่มมีเวลาและแรงเหลือจากงานที่เราทำเสร็จแล้ว เราก็สามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ เพื่อนๆรัก
ซึ่งมีกับดักของความใจกว้าง ระหว่างความใจกว้างกับกลัวคนอื่นไม่ชอบเรา เราจะต้องมีทักษะในการปฏิเสธ แบบมีทางเลือกให้เขา
4. Low Maintenance
ไม่ต้องดูแลเยอะ
เหมือนมีดพับสาระพัดประโยชน์ ดูแลง่าย ใช้งานได้ทันที
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าคนนี้เป็น Low หรือ High Maintenance?
- high maintenance เป็นคนจู้จี้จุกจิก
- low maintenance เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ควรมี 1-on-1 กับคนกลุ่มนี้ เพื่อรักษาเขาได้ทัน
5. Recovery
การฟื้นฟูตัวเอง
ดูแลพลังงานของเราเอง ให้มีแรงทำงานในการทำงานในวันถัดๆไป โดยไม่ burn-out ก่อน
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย
- มีเวลาในการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ทำงานอดิเรกที่เรารัก ช่วยเติมเต็มและเป็นนํ้าหล่อเลี้ยงให้เราได้ กลับมาดูแลตัวเองด้วย
องค์กรเองจะช่วยยังไง?
- ไม่คุยงานหลัง 1 ทุ่ม
- บางที่มีสวัสดิการให้พนักงานเบิกเงินในการ relax หรือทำสิ่งที่ตัวเองรักได้
ก็หวังว่า online course นี้ หรือ content นี้ จะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนได้นะ :D
สามารถ support ค่ากาแฟเจ้าของบล็อกได้ที่ปุ่มแดงส้มสุดน่ารักที่มุมซ้ายล่าง หรือกดปุ่มตรงนี้ก็ได้จ้า
ติดตามข่าวสารและบทความใหม่ๆได้ที่
ติดตาม Twitter เพื่อข่าวสารที่รวดเร็วกว่าบนหน้าเพจกับในบล็อกนะ บางทีฟังแล้วก็สรุปทวิตเลย
ช่องทางใหม่ ติดตามทุกๆสตรีมของเราได้ที่
Subscribe ช่อง YouTube ของเราได้ที่
download แอพอ่านบล็อกใหม่ของเราได้ที่นี่