รู้หรือไม่? เดี๋ยวนี้กล้องมี chip AI แยกแล้วนะ!

Content Creator Jun 13, 2024

ปี 2024 เป็นยุคของ AI อย่างแท้จริง อย่าง chatbot ที่เราใช้แชทถามเสมือนเพื่อนอย่าง ChatGPT และ Gemini ที่เก่งจากปีที่แล้วขึ้นมากยังกับคนละคน เราใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อให้เรามีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น ช่วยลดเวลาการทำงานลงจากเดิม อีกทั้งช่วยสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยนะ

และส่วนใหญ่เราก็ใช้ AI บนอุปกรณ์ที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวัน อย่างมือถือ และคอมพิวเตอร์

แต่จริง ๆ ยังมีอุปกรณ์นึงที่มี AI อยู่มานานแล้ว แต่เราอาจจะไม่ได้นึกถึงมันมากนัก อย่างกล้องดิจิตอล ที่เขาพัฒนา chip ที่เป็น AI เพื่อทำงานกับ software ได้ดีมากขึ้นด้วย ทำให้ตอบโจทย์คนถ่ายรูปไม่ค่อยเก่งแบบเรา (แหะ ๆ) และเหมาะมากกับสาย content creator อีกด้วยนะ

แล้ว AI คืออะไร? และ AI ในกล้องจะเป็นยังไง? มาทำความรู้จักกันเถอะ!

ทำความรู้จัก AI กันก่อน

AI มาจาก Artificial Intelligence แปลเป็นไทยคือ ปัญญาประดิษฐ์ หมายถึง เทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องจักรสามารถ เรียนรู้ คิดวิเคราะห์ และตัดสินใจ ได้เหมือนมนุษย์นั่นเอง

เมื่อก่อน AI ไม่ได้ฉลาดแบบทุกวันนี้ usecase แรก ๆ ในการนำ AI มาใช้ คือ chatbot

หลาย ๆ คนคงจะรู้จักเจ้า Simsimi เป็ดเหลือง ๆ ตัวนั้น ที่กวน ๆ หน่อยน่ะ และการทำงานของมัน ไม่ได้เป็น AI ลํ้าสมัยแบบปัจจุบัน มันใช้หลักการของ Machine Learning เป็นการเรียนรู้จากสิ่งที่เราพิมพ์ไปคุยกันมัน มันจะเอา input เหล่านี้มาวิเคราะห์รูปแบบการสนทนา และสร้างคำตอบที่สอดคล้องกับบริบทที่เราถาม

แต่การเรียนรู้แบบนี้ มันก็มีดาบสองคนแหละ ถ้าคนที่นิสัยไม่ดี สอนอะไรมันผิด ๆ สอนอะไรที่ไม่ดี ไม่เป็นมิตรต่อทุกคน มันก็จะกลายเป็น chatbot ที่อันตรายได้เลยนะ คนทำพวกนี้ ต้องกรองข้อมูลที่ไม่เหมาะสมออกก่อนที่จะให้มันเรียนรู้

ดังนั้น AI ต่าง ๆ ที่เราใช้กันในปัจจุบัน ผ่านการ train มาอย่างหนักหน่วงก่อนปล่อยออกมาให้เราได้ใช้งานกัน

แล้ว AI ในท้องตลาดตอนนี้ มีอะไรให้ใช้บ้าง?

Text: ส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นแบบ Large Language Model หรือ LLM เป็นตัวที่ทำให้ AI เข้าใจภาษาได้ รูปแบบเหมือน chatbot ปกติเลย อย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Microsoft Copilot
Image: สร้างรูปโดยการพิมพ์ prompt ที่ต้องการลงไป บางตัวเราเลือกพวก model และ filter ได้ด้วยนะ ตอนนี้ในท้องตลาดมีหลายตัวมาก ๆ เลย ที่ฮิต ๆ กันจะมี Midjourney, Stable Diffusion, DALL-E, Adobe Firefly
Voice: ถ้าของไทยมีของ Botnoi Voice ที่เป็น AI สร้างเสียง สามารถใช้ใน Canva ได้ด้วยนะ
Music Generator: AI สายเพลง มันสามารถทำแทนเราได้ทุกอย่างแบบเกินไปมาก ทั้งเขียนเนื้อร้องเอง ทำ melody และ harnomy ให้ รวมถึงทำ sound design และ production ให้ด้วยนะ เช่น Suno AI, Udio
Video: มีหลากหลายค่ายให้เลือกสรร เริ่มจากฝั่ง OpenAI มี Sora AI ส่วน Google มี Imagen Video เป็น text-to-video เหมือนกัน ที่เราพิมพ์ prompt ไปแล้วมัน generate video มาให้เลย ตอนนี้ทั้งสองอันยังไม่เปิดให้คนทั่วไปใช้นะ ตัวอื่น ๆ ก็จะมี Pictory กับ Synthesia
Code: ตัวช่วยในการเขียนโค้ด สำหรับชาว developer อย่าง Github Copilot อันนี้จึ้งจริง มันช่วยเราเขียนโค้ดต่าง ๆ ให้, Gemini in Android Studio ชื่อเดิม Studio Bot เป็น chatbot บน Android Studio editor ที่รักของชาว Android Developer ที่เราสามารถถาม AI ในนั้นได้เลยไม่ต้องออกไปไหน รวมถึงช่วยแก้ error กับโค้ดเราได้ด้วย

สำหรับใครที่สนใจเรื่อง Generative AI & ChatGPT สามารถอ่านเพิ่มเติมที่บล็อกนี้นะ

สำหรับ Generative AI ที่เอาไว้ทำรูป

วิวัฒนาการ AI ในกล้อง SONY

ตอนที่เราฟังเนื้อหาจากทาง SONY ในค่าย iCreator Camp 2024

ผลิตภัณฑ์ของ SONY ที่เป็นตัวเด่นคือ กล้อง นั่นเอง

และเราก็ได้รู้ว่า เอ้ออออ AI ในกล้อง SONY นี่มีมานานแล้ว

แล้วหลาย ๆ คนที่เลือกใช้กล้อง SONY กัน เพราะเป็นแบรนด์ที่เด่นเรื่อง auto-focus นี่แหละ

แล้ว AI ในกล้อง SONY มีอะไรบ้าง มาดูตามลำดับคร่าว ๆ กัน

Face Auto Focus: จับใบหน้าคนได้
Eyes Auto Focus: จับดวงตาคนได้
Real-time Tracking: ติดตามวัตถุที่เราต้องการ
Subject Selection: เลือกพวกสัตว์เลี้ยง ที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้
Subject Recognition: แยกแยะวัตถุ เช่น แยกตาซ้ายตาขวาของคนได้ แยกสัตว์เลี้ยง แมลง รถแข่งได้ ในอันนี้เราสามารถเลือกวัตถุในการ focus ได้นะ
Auto Framing: อันนี้มาล่าสุดเลย เหมาะกับการถ่าย video คนเดียว หรือถ่ายสองคนกับเพื่อนก็ได้ ตัวกล้องมัน track ว่าเราเคลื่อนที่ แล้วตัว software ในกล้องมันจะขยับ หรือเปลี่ยน frame ให้เอง โดยที่ตัวกล้องมันจะอยู่นิ่ง ๆ ของมัน เราไม่ได้ขยับอะไร เราสามารถ setup กรอบอะไรได้หลาย ๆ อย่าง สามารถจิ้มจอเพื่อย้ายเฟรมไปที่อีกคนได้ กำหนดความเร็วอะไรพวกนี้ได้ด้วย การถ่าย short-form video ที่เป็นแนวตั้งก็จะไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป

ทดลองสัมผัส AI ในกล้อง SONY กัน

เราได้มีโอกาสเล่นน้อง Sony Alpha 7C II (โซนี่-อัลฟ่า-เซเว่น-ซี-ทู)

ที่ SONY Store สาขา Emqurtier พี่ ๆ น่ารักมาก ๆ เลย ให้คำแนะนำเราอย่างดี เราติดตรงไหนพี่ ๆ สอนเราใช้งานจนเราเข้าใจได้

กล้องรุ่นนี้เป็นตัวล่าสุดที่ออกมาช่วงปลายปีที่แล้ว กับคุณสมบัติสุดจึ้ง!!

คือตัวนี้เป็นกล้องแบบ full-frame ขนาดกระทัดรัดที่ใส่ chip ประมวลผล AI เข้ามา เป็น AI Processing Unit พอรวมพลังกับ software AI ที่เป็นคุณสมบัติเด่นของกล้อง SONY ทำให้เราได้ feature สุดเทพ คือ

AI Auto Focus - โฟกัสไว ไม่มีพลาด
AI Auto Framing - ติดตามทุกเฟรม
AI Subject Recognition - จับแม่นทุกวัตถุ

จากการที่ลองเล่น คือมันมี AI Auto Focus อยู่แล้ว ไม่ต้อง set อะไร เพียงแค่เรากดชัตเตอร์ค้างไว้ ตัวกล้องก็จะ auto focus สิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เรา เราจะเห็นจุดเขียว ๆ ในจอ ก่อนที่เราจะกดถ่ายรูปจริง

อย่าง AI Subject Recognition อันนี้มาพร้อม AI Auto Focus อยู่ล่ะ สามารถแยกแยะได้หลายสิ่ง สามารถแยกแยะ คน สัตว์ นก แมลง รถยนต์/รถไฟ เครื่องบิน อีกทั้งแยกแยะดวงตาของสิ่งมีชีวิตได้ด้วยนะ

รูปเต็มที่เราถ่ายมาจากกล้อง ที่ผ่านการแปลงเป็น webp มาแล้ว รูปจริงรูปละ 6 MB กว่า ๆ ได้

ส่วน Auto Framing อันนี้ใช้ได้สำหรับ video เท่านั้น และต้องใส่ sd card ที่รองรับการถ่าย video แบบ 4K ไว้ด้วยนะ เราดันเตรียมไปไม่ได้รองรับไป เลยให้พี่ ๆ เขาเล่นให้ดู มันจะจับ focus ของข้างหน้า เช่น เราให้ focus ที่ตัว display สักพักเราย้ายไปถ่ายคน สักพักมันจะเปลี่ยน focus มาที่คนแทน เราจะเห็นกรอบสีขาว ๆ พอถ่าย video เสร็จตัว output ที่ได้ก็เห็นของในกรอบสีขาวนั่นแหละ (ขออภัยที่ลืมถ่าย output มางับ ;_; แต่วาดคร่าว ๆ มาให้แล้วนะ)

คลิปเพื่อให้เห็นภาพ AI-Bsed Auto Framing ชัดเจนนะ

ประสบการณ์การใช้ Sony Alpha 7C II

นอกจาก function AI ที่เราได้ลองเล่นกันแล้ว มาดูการใช้งานอื่น ๆ กันบ้างเนอะ

เริ่มที่การเปิดปิดกล้องก่อน สามารถหมุนไกเพื่อเปิดปิดได้ตรงใกล้ปุ่ม Shutter

เอกลักษณ์ของ SONY ในความรู้สึกของเรา คือ auto focus เมื่อเรากดค้างที่ปุ่ม Shutter มันจะ focus สิ่งที่อยู่ข้างหน้าให้เรา พอกดลงไปแล้วก็จะได้ยินเสียง shutter อันเป็นเอกลักษณ์

แล้วตอนแรกตอนแรกงง ๆ นิดหน่อยตรงสลับโหมด photo/video ต้องหมุนไกตรงนั้นเปิดปิด มันจะอยู่ใกล้กับพวกที่หมุน ๆ เลือก mode

ซึ่งตรงที่เลือก mode เราจะเห็นเลข 1 2 3 นั่นคือ memory recall สำหรับคนขี้ลืม เอ้ยยย เป็น setting mode เพื่อความสะดวกในการถ่ายรูป ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย มีให้ใช้ 3 mode อันนี้ก็ได้ยินมาในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน iCreator Camp นี่แหละ

และกล้องตัวนี้ สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ตัวกล้องที่เราได้ลองเล่นที่ร้าน เขาใส่เลนส์ FE 2.8/ 16-25 G ตัวนี้เขาบอกว่า เหมาะกับสาย Vlog กว้างกำลังดี ส่วนในค่ายที่เราเคยจับเล่น จะเป็นเลนส์ FE 1.4/35 GM อันนี้ปรับซูมได้อย่างเดียวนะ

ด้านบนใส่ไมค์ได้ ซึ่ง SONY ก็มีไมค์หลายตัว หลายแบบให้เลือกใช้เลยทีเดียว

การใช้งานทั่วไป เราสามารถจิ้มผ่านหน้าจอเลย เช่น การเลือก AI Subject Recognition

แล้วที่น่าสนใจ คือนอกจากดูภาพจากจอได้แล้ว เรายังสามารถไปดูในช่องกล้อง เหมือนถ่ายรูปด้วยกล้องสมัยก่อน เขาเรียกว่า viewfinder ความลํ้าคือ เหมือนมันมี censor ที่พอหน้าใกล้จอปุ๊ป จอปิด แล้วไปเปิดตรงช่องตรงนั้นแทน

แล้วก็หน้าจอหมุนได้ สามารถหมุนเพื่อทำ vlog หรือถ่าย selfie ได้ด้วย

โดยรวมถามว่าประกอบร่างกันหนักไหม ก็หนักนะ555555 ตัว body มันอาจจะไม่หนักมาก แต่อาจจะหนักเลนส์มากกว่าก็ได้555

ทำไมต้อง Sony Alpha 7C II

นอกจากที่เราจะต้องมี storytelling ที่ดีแล้ว

การที่ทำให้งานภาพเรามีความ production ที่ดีมากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน ซึ่ง content creator หลาย ๆ คนใช้มือถือทำ content เป็นหลัก เราก็เช่นกัน แหะ ๆ

ซึ่งน้อง Sony Alpha 7C II เป็นการยกระดับการทำงานจากมือถือ ไประดับ professional เลยล่ะ ด้วย AI Power ทั้ง 3 feature อย่าง AI Auto Focus, AI Auto Framing และ AI Subject Recognition ที่มากับ AI Processing unit แล้ว ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับน้องอีก

น้องเป็นกล้องแบบ full frame ใช้Exmor R CMOS sensor แบบ full-frame ตัวกล้องถ่ายภาพได้ความละเอียด 33 MP มี ISO 100 - 512000 ที่รับแสงได้เป็นช่วงกว้าง ๆ รวมถึงถ่าย video แบบ 4K ได้ความละเอียด 2160p เลยทีเดียว แถมมีระบบกันสั่นไหว optical ขั้นสูงแบบ 5 แกน ทำให้ภาพนิ่งขึ้น อีกทั้งตัว body ขนาดกระทัดรัด นํ้าหนักเบาอีกด้วย

การใช้งานใช้ง่ายเพียงจิ้มจอสัมผัส จอภาพปรับได้หลายมุมมอง มี feature ให้เราใช้เยอะด้วย นอกเหนือจาก AI Power

creative look จบหลังกล้อง เหมือนใส่ filter
memory recall เป็น setting mode เพื่อความสะดวกในการถ่ายรูป ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย
viewfinder ช่องมองภาพ

เปลี่ยนเลนส์ได้ ข้อนี้สำคัญสุดในการมีกล้องเลย เพราะเราจะได้มุมมองภาพที่หลากหลาย จากการใช้เลนส์ประเภทต่าง ๆ

เราสามารถใส่อุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ อย่างไมค์แบบต่าง ๆ ที่ด้านบน และด้านล่างใส่ grip ตัวนี้เป็นแบบไร้สาย สั่งงานผ่าน Bluetooth หรือขาตั้งกล้องใด ๆ ได้

ปล. อันนี้ได้ยินมาว่าเชื่อมกับแอพได้ แต่ทางเรายังไม่ได้ลองน่ะ

ขยายความ Full frame กันสักหน่อย

กล้อง Full Frame เปรียบเสมือนกล้องมือโปร มาพร้อม sensor รับภาพขนาดใหญ่ เก็บรายละเอียดภาพได้ดีกว่ากล้องมือถือ และ กับกล้อง APS-C ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัด มีความหน้าชัดหลังเบลอ (อานิสงค์จากการเลนส์ที่ใส่ด้วยนะ)

ตัวอย่าง กล้องความละเอียด 24 MP เท่ากัน แต่ของมือถือ sensor มันจะเล็กกว่า ทำให้ได้ภาพที่ละเอียดน้อยกว่ากล้อง Full Frame ที่มี sensor ใหญ่กว่า

ปล. ด้วยความที่วันนั้นใช้กล้องมือถือความละเอียด 12 MP คือจะสู้น้อง Sony Alpha 7C II ที่มีความละเอียด 33 MP มันก็ไม่ได้ไง น้องชนะบาย555

ขยายความ Creative Look กันสักนิด

feature นี้จะมีในกล้องหลายรุ่นของ SONY เลย เราสามารถจบหลังกล้องได้ด้วย Creative Look ภาษาชาวบ้านคือเหมือนเป็น filter ของตัวกล้องนั่นแหละ

ตัวน้อง Sony Alpha 7C II มีทั้งสิ้น 10 Creative Look preset ด้วยกัน แต่ละ preset จะให้อารมณ์ภาพที่ต่างกัน จะมี ST (standard ), PT, NT, VV, VV2, FL, IN, SH, BW (ขาวดำ), SE (ซีเปีย) อันนี้สามารถเปิดปิดได้นะ

และสามารถปรับจาก preset ที่มีอยู่ได้อีก 6 preset ด้วยกัน

ภาพตัวอย่างคือเราไปลองมา 6 preset ที่ผ่านการปรับแต่งในกล้องแล้ว แต่ละอันชื่ออะไรจำไม่ค่อยได้ล่ะ จะมี ST, PT, IN, รูปสุดท้ายเป็น BW