บันทึกเกี่ยวกับงาน Dev Mountain Tech Festival ครั้งที่ 2 ที่เชียงใหม่
เป็นครั้งแรกที่เป็น speaker ในงานที่ไกลบ้านที่สุด และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่มางานไกลขนาดนี้ก็ได้นะ คือมันเหนี่อยอ่ะ
เรื่องของเรื่องคือรอบที่แล้วเราก็ไปฟังแบบ online อะเนอะ แล้วพบว่าไม่มี speaker สาวๆ มาเลย ทางงานตามหา speaker สาว ๆ ก็เลยได้เป็น speaker งานนี้แหละ หัวข้อพูด กลัวว่าหยิบทางฝั่ง mobile development แล้วคนส่วนใหญ่มางานจะงง ๆ ก็เลยหยิบหัวข้อที่ research ไว้หลาย ๆ เดือนมาพูด นั่นคือเรื่อง NFT นั่นเอง แต่เวลาพูดมีประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เราจะต้องทำให้คนไม่รู้จัก NFT รู้ว่ามันคืออะไร แล้วมันเกี่ยวกับเรื่อง development ยังไง และให้เขาได้ keyword อะไรบางอย่างกลับไปตามต่อ
และในช่วงระหว่างที่ส่งหัวข้อไป จนถึงวันงาน ก็หลายเดือนหล่ะ ทางเรามีงานอื่น ๆ แทรกมาตลอด ทำให้สไลด์เสร็จอีกทีก็เป็นคืนวันศุกร์ ก่อนวันงาน
อีกทั้งยังเหนื่อยในเรื่องของการเดินทาง ที่รู้ตัวอีกทีก็บินมาเชียงใหม่เย็นวันศุกร์ และอะไรต่าง ๆ ที่การจัดการของส่วนงานทำให้ speaker หลาย ๆ คนมีความรู้สึกงง ๆ เมื่อใกล้ถึงวันจริง และเจอประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีในระหว่างนั้นด้วย ก็เลยลุ้นว่าวันงานจะเป็นยังไง แน่นอนว่าตอน networking ไม่อยู่ เพราะว่าอยากพักหลังจากที่เหนื่อยกับเรื่องนี้มานาน
จริง ๆ ต้องขอบคุณทางบริษัทที่ support ค่าเครื่องบิน ที่นั่ง hot seat พร้อมอาหารทั้งไปและกลับ ของสายการบิน AirAsia รวมถึงเสื้อยืดบริษัทที่ใส่ในวันงานด้วย อีกทั้งเป็น sponsor งานนี้ด้วยนะ ส่วนที่พักไปพักบ้านญาติ ซึ่งความใกล้ไม่ต่างจากโรงแรมที่เขาไปพักกันแหละ
การเดินทางไป
ขาไป ขึ้นที่สุวรรณภูมิ เดินทางโดยใช้ airport link ขึ้นจากพญาไท ต้นสายเลย ราคา 45 บาท ใช้เวลา 30 นาทีโดยประมาณ ถึงสนามบิน
จากนั้นก็ checkin และนั่งรอ เนื่องจากถึงเร็วไป พบว่าคนเยอะเอามาก ๆ หาที่นั่งแทบไม่ได้ แล้วก็ร้านอาหารคนแน่นทุกร้านด้วยหล่ะ แต่จริง ๆ ถ้าเข้าไปรอตรงหน้า gate ยังพอเหลือที่นั่งอยู่ ชิวกว่า
แล้วก็เครื่อง delay เนื่องจากเที่ยวบินก่อนหน้านี้ ขึ้นไปก็มึน ๆ สักพักอาหารมา ก็ทานกันไป อาหารอื่น ๆ บนเครื่องแพงกว่าปกติอยู่หล่ะ พอบินถึงเชียงใหม่ มึนหัวมาก น่าจะเมาเครื่อง
กิจกรรมที่มักจะทำการบนเครื่องบิน คือ นอน ดูหนัง กินข้าว แค่นี้เลย
จากนั้นแยกกับ HR ที่มาเที่ยวเดียวกัน เพราะญาติมารับ เอาจริง ๆ ถึงเครื่อง delay แต่เขาถึงตรงเวลา กราบกัปตันแล้วหนึ่ง
แล้วคืนวันศุกร์ร้านอาหารคนเยอะมาก ๆ ตอนแรกจะได้กินชาบู ไป ๆ มา ๆ มาร้านอาหารข้าวเม่า-ข้าวฟ่าง ป่าในจินตนาการ ร้านนี้ก็รอคิวนะ เป็นร้านอาหารบรรยากาศป่า มีกล้วยไม้ ดอกไม้อื่น ๆ มีเมนูที่ทานไป คือ ยำถั่วพลู ข้าวโพดชาววัง เห็ดหอมสดผัด และข้าวผัดปู ห้องนํ้าคือบรรยากาศป่าจริง ตอนเปิดก็อกคือเซอร์ไพร์สมาก เพราะนํ้าไหลเหมือนนํ้าตกอ่า
จากนั้นถึงบ้านญาติ เล่น RoV กับ Stocker DAO ช่วยน้องพัตเตอร์ น้องในคอมมู Stocker DAO ทำการบ้านทำไมก่อน แล้วปั่นสไลด์จนเสร็จฮับ จากนั้นนอนหนาว ๆ จนเช้า
วันเสาร์
เมื่อสไลด์เหมือนจะเสร็จแล้ว ก็เลยตรวจความเรียบร้อยอีกหนึ่งรอบ และซ้อมพูดเพื่อจับเวลาด้วยหล่ะ วันนั้นเลยไม่ได้ไปงานใด ๆ ในวันนั้น
ข้าวที่กินวันนั้น
ส่วนเรื่องร้านอาหารที่ได้ไปทาน มี detail มากกว่านี้ แต่กลัวบล็อกจะยาวไป ก็เลยแยกเป็นอันนี้ ที่ readme เนอะ เอาจริง ๆ ราคาไม่แพงเท่ากรุงเทพนะ
วันงาน ตื่นเช้ามาเพื่อเข้ามาเตรียมตัวแหละ เข้ามาที่งานเลยเข้าห้องที่พูด แล้วก็ลองซ้อมนิดหน่อยกับทีมงาน The Pop Live เนอะ เราเอา macbook มา คือส่ง airplay เข้าเครื่องของงานได้เลย เย้ๆ แล้วก็ลองไมค์นิดหน่อยด้วย
แล้วก็รับป้ายห้อยคอ speaker แล้วไม่รู้จะทำไร เพราะไม่มีร้านอะไรเปิด เลยไปนั่งห้องใหญ่ง่ะ จนพิธีเปิด แล้วฟัง session แรกยาว ๆ ไป
DOING GREAT WORK AT YOUR JOB ISN'T ENOUGH. YOU'LL NEED TO BRAG YOURSELF!— KAN OUIVIRACH, DATA PRODUCT DEVELOPER @ ODDS
เป็น session ที่เหมาะกับการเป็น session หลังเปิดงานมาก 555
คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ทำงานดี ทำงานหนัก ไม่ได้ขึ้นเงินเดือน
คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ทำงานดี ทำงานหนัก ไม่ได้ promotion
คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ทำงานดี ทำงานหนัก แล้วคนจำไม่ได้
แล้วจะทำยังไงดีหล่ะ ?
แล้ว session นี้ พูดถึงเกี่ยวกับอะไรหล่ะ ?
The Qualified Quiet and Challenges
Qualified Quiet คือ คนที่มีปัญหาในการ express ความสามารถของเขาออกมา
อันนี้มาจากหนังสือที่มีชื่อว่า Brag Better: Master the Art of Fearless Self-Promotion ของ Meredith Fineman
โจทย์ของคนกลุ่มนี้ คือ ต้องพยายามหาความสามารถที่ซ่อนเร้น ให้คนอื่นรู้ให้ได้
Challenge
- ทำงานหนัก แต่ไม่มีคนจำได้
- ยากในการทำ performance review ประจำปี ว่าปีนี้เราทำอะไรไปบ้างนะ
- เกิดความ unfair เช่น ทำไมคนนี้ได้เลื่อนตำแหน่ง ทำไมเราไม่ได้
มนุษย์ทุกคน ต้องการ recognition
และจะทำอย่างไรให้คนอื่นรู้ และไม่เกลียดเราหล่ะ -> brag it เป็นการ express งานของเราออกมา
Bragging? What, Why, and How?
การ brag คือการ speak too proudly แต่คงไม่ใช่แบบพูดโม้ไปเรื่อยขนาดนั้น มันเป็นการ self promotion ในการพูดถึงคุณภาพของความสำเร็จของเรา
แล้วทำไมเราต้องทำนะ ?
- ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง ไม่รู้สึก imposter syndrome
- get motivated พูดเรื่องที่น่าสนใจกันในทีม
- สร้างความมั่นใจ
- สร้างความสัมพันธ์
- โชว์ความสำเร็จของเรา
แล้วเราจะ brag ยังไงดีนะ ? ใช้ brag document อันนี้ได้ inspired จาก Julia Evans
ถามว่าต้องเขียนเป็น document ไหม เขียนเป็น maskdown แบบนี้ก็ได้
การเขียนทำให้เรา scale ได้มากขึ้น ข้อดีของการทำ brag document คือ
- ใช้เป็น reference ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
- ได้ reflet ตัวเอง ว่าเราเก่งขึ้นในเรื่องอะไรบ้าง ในแต่ละวัน
- เป็นการพัฒนาสมอง ปรับกระบวนการคิด ให้เราเข้าใจตัวเองด้วย และเป็นการจัดระเบียบสมอง
ผลจากการทำ brag document คือ มีคนมา connect กับเรามากข้ึน
How We Brag @ODDS
ODDS เป็นกลุ่มคนที่รักการทำ software และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น
Fun Fact
- มี software delivery แผนกเดียวในองค์กร เพราะการที่มีหลาย ๆ แผนก ทำให้คุยกันน้อยลง พอเป็นแบบนี้เราจะคุยกันได้มากขึ้น
- ทุกคนมี career path เป็นของตัวเอง ว่าเราอยากเป็นแบบไหน และไม่มี title หน้าตำแหน่ง
- พวกเราเลือกเงินเดือนเอง บอกตัวเลขว่าอยากได้เื่าไหร่ และเราต้องรู้ว่าเรามีความสามารถเท่าไหร่ เป็นการลดเรื่อง unfair ทิ้งไป
ทั้ง 3 อย่างนี้ แลกกับ responsity และการมีอำนาจในการตัดสินใจ และที่ ODDS ใช้เจ้า Brag Document ในการอ้างอิงในการขอขึ้นเงินเดือน โดยสิ่งนี้จะใช้โปรแกรม basecamp ในการทำนะ
สิ่งนี้แชร์ให้ทุกคนอ่านได้ และเป็นการ prove ว่าเราทำอะไรเก่งขึ้นบ้าง และสิ่งที่ยากที่สุด คือการ maintain ของตัวเองนั่นเอง
key takeaway ตอนจบ ว่าคนฟังจะได้อะไรกลับไปบ้างงับ
พอจบห้องนี้ก็ไปห้องข้างบน แบบงง ๆ ว่าเขาพูดเรื่องไรน้า เดี๋ยวไปตามฟังย้อนหลังแล้วกัน พอดีเป็น session จากทาง KX เลยอยากรู้นิดหน่อย 555
WHAT IS IT LIKE TO BE AN ENGINEERING MANAGER— SUDARAT CHATTANON, ENGINEERING MANAGER @ PRODIGY9
คือที่เข้ามาฟัง เพราะคิดถึงพี่สาว manager ของทีมเราแหละ เลยอยากรู้ว่าเส้นทางการเป็น manager มันเป็นประมาณไหน ฟังจบรู้สึกคิดถูกที่ไม่อยากไป career path นี้ 55555
คุณกะตักเห็นจากโลกออนไลน์มาบ้างหล่ะ เขาทำคอมมู PyLadies Bangkok แล้วก็ PyCon Thailand ด้วย ชื่อกะตัก มาจากเสียงร้องของไก่อะนะ
แล้วที่ PRODIGY9 ทำเกี่ยวกับอะไรบ้างนะ ?
PRODIGY แปลว่า เด็กฉลาด หรือเด็กเก่ง ที่มีความเก่งซ่อนอยู่ภายใน ให้เขาอยู่ใน culture ที่ดี
และบริษัททำ talk เกี่ยวกับ tech ด้วย เป็น Facebook Live อ่ะ
Background ของคุณกะตัก
เป็น software engineer ตั้งแต่เริ่มเรียนจบ เป็นคนชอบเขียนโค้ด ชอบทำงานเป็นทีม ชอบคุยกับคน
วันนึง CEO มาถามว่า อยากลองเป็น EM ดูไหม ? ซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่า EM คืออะไร ถามอากู๋ก็เป็นอีก EM นึง 555
ในที่นี้ EM คือ Engineer Manager ซึ่งมี job description และอะไรที่ต้องทำเยอะมาก
วันแรกของการเป็น Engineer Manager
มีความตื่นเต้น เพราะมีหลาย ๆ สิ่ง ให้ทำ และเปิดโลกว่า เหยยย มีสิ่งนี้ต้องทำด้วยนะ
one month ago
หนึ่งเดือนผ่านไป เริ่มไม่ไหวแล้ว และพบว่า สิ่งที่อยากทำ ไม่เท่ากับ สิ่งที่ต้องทำ
calendar คร่าว ๆ ใน 1 สัปดาห์ มีการ book ตัวเองสำหรับการกินข้าวและไปยิม ซึ่งอันนี้ ยังมีเดือดกว่านี้อีก
แล้วจะทำยังไงให้ได้ทั้งหมดนี้นะ ?
set working structure เวลาไหน อยากทำอะไร มีการ set routune ทำให้มีเวลามากขึ้น
งานที่ต้องทำ
- 1-on-1: จัด structure มีการ set agenda ล่วงหน้า
ก่อนหน้านี้ เวลา 1-on-1 คุณกะตักจะทักคนที่เข้าว่า "สวัสดีจ้า เป็นยังไงบ้าง" พอใช้บ่อย ๆ เขามันก็ดูน่าเบื่ออะนะ
เลยใช้ officevide guideline หรือ template ช่วยชีวิตไว้ด้วย
- interviewing: define company value ว่าอยากได้คนประมาณไหนเข้ามาทำงาน และเวลาสัมภาษณ์ ถามเขาเรื่องอะไร ทำเป็น standard เตรียมไว้
สิ่งที่ฝากไว้ตอนจบ
- Delegation เราทำสิ่งนั้นไม่ได้คนเดียว ต้องมีลูกทีมด้วย
- Asking for help การขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด
- Find a Mentor คุณกะตักได้ CEO เป็น mentor และเขาช่วยเต็มที่
- หนังสือแนะนำ มี The Making of a Manager: What to Do When Everyone Looks to You และ Become an Effective Software Engineering Manager: How to Be the Leader Your Development Team Needs
- website แนะนำเว็บ https://leaddev.com/
Q & A
- environment ที่ save คือเป็น manager ด้วยกัน encourage ว่าเราไม่ต้อง expert ทุกสิ่ง ถ้าต้องการความช่วยเหลือ
- คุณกะตักเป็น Engineer Manager มาปีนึงแล้ว
- retrospective ตัวเอง และจัด working structure ใหม่เรื่อย ๆ
WEB3 LEGO: A GUIDE TO WEB3DEVELOPER STACK— BANK SATHAPON PATANAKUHA, CEO @ SIQNAL.CO
เข้าห้องนํ้ามาเลยเข้าสายไปหน่อย เกือบหาที่นั่งไม่ได้ แหะ แล้วเราก็รอพูดห้องนี้ด้วย
เข้ามาเจอ introducing web3 หลักมีเรื่อง trustless เราตรวจกันเองได้ ไม่ต้องผ่านตัวกลาง กับ premissionless ใคร ๆ ก็เข้ามาอ่านได้
อันนี้ตัวเทคคร่าว ๆ
เราสามารถ call service บน blockchain เอาไปใช้ได้เลย คือเป็น Lego นั่นเอง
แต่ละ web3 stack มีอะไรบ้างนะ
- RPC Node: เหมือน API ในโลก web2 นั่นแหละ อาจจะ run node เอง หรือใช้ของคนอื่นก็ได้ เช่น alchemy, moralis, infura (เคยเล่นแปปนึง), QuickNode, BitQuery
- Wallet & Key Management: ตัว wallet เก็บแค่ public key และ private key ของกระเป๋า ไม่ได้ stage ของการเงินนะ อันนั้นเก็บของ blockchain และอันนี้เป็นสิ่งที่ user เขาใช้อยู่แล้ว ที่ยอดนิยมก็ metamask ตัวอื่น ๆ ก็จะมี WalletConnect, argent, web3auth, Magic, Math Wallet
- Decentralized Storage: ในโลก web2 จะเก็บของบน server แต่อันนี้ concept คล้าย BitTorrent ที่กระจายกันเก็บ เมื่ออันนึงพัง ก็ยังมีอันอื่นให้ใช้เนอะ ที่เจ้าของบล็อกคุ้นก็น่าจะเป็น IPFS ตัวอื่น ๆ ก็จะมี arweave, sia, web3.storage (ตัวนี้ก็คนใช้เยอะเหมือนกันไหมนะ แอบคุ้น ๆ)
- Oracle: หน้าที่ของมัน คือ maintain ราคาง่ายมากขึ้น อันนี้เราอาจจะอธิบายงง ๆ นะ ยังไม่เก็ทเท่าไหร่ เดี๋ยวไปอ่านใน document ต่อ หลัก ๆ ก็จะมี Chainlink (ของต่างประเทศ มีคอมมูในไทยด้วยนะ เคยลงเรียนแต่ก็ไม่ได้เรียน แหะ), Band Protocol, flux
- Index & Query: อันนี้น่าจะเป็น database ในโลก web3 ไหมนะ จะมี the graph, Tranpose, Covalent, Coherent
สรุป เรา develop เท่าที่จำเป็นเท่านั้น บางอย่าง user เขามีใช้อยู่แล้ว
limitation คร่าว ๆ คือ เรื่อง UX การใช้งานนี่แหละ
อันนี้เป็นเทรนด์ประมาณว่า ฝั่ง user หรือ creator ได้เงินจาก web2 เยอะมาก ในโลก web3 พวกเราจะได้ลืมตาอ้าปากมากขึ้นหล่ะ
เคสนี้เรานึกถึง brave publisher ที่ creator submit website หรือ social media ของเราขึ้นไป เมื่อ user ใช้ brave browser ก็เป็นการ support creator มากขึ้นด้วย ถ้าใช้ทุกวัน เก็บเยอะ ๆ เราก็สามารถเอาไป donate เหรียญ BAT ที่มีในระบบ ให้กับ creator ได้ด้วยนะ เช่น การอ่านบล็อกเราจาก brave browser ก็ถือว่าเป็นการ support เราอีกทางนึงงี้
ต่อมา session ของเรา แต่คนออกจาก session ที่แล้วเกือบหมดห้องเลย ฮืออออออ แต่ถ่ายรูปตอนจบ session ไว้ด้วย เนื่องจากคนไปฟังห้องใหญ่ ส่วนอีกห้องเห็นพี่หนุ้มบอกคนไม่เยอะเหมือนกัน ฮืออออออออออ
.
เท่าที่ดูจากรูปก็มีผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาฟังอยู่นะ แล้วก็เห็นพี่ นบ. ตัวจริง ก็ในงานนี้แหละ
ตอนเที่ยงเดินไปหา HR แล้วก็มีถ่ายรูปกับ backdrop งานนิดหน่อยเนอะ แล้วก็ได้สติ๊กเกอร์น่ารัก ๆ มาด้วย ซึ่งนี่ก็เอามาเป็นแบบต่อไป ว่าทำตัวขนาดไหน ให้มันโอเคอะเนอะ
ในงานมีอาหารกลางวันให้ เป็นอาหารกล่อง น่าจะเป็นข้าวผัดนํ้าพริกหนุ่มไหมนะ มีไส้อั่วสองอัน และแกงจืด ทั้งหมดชืดมาก แง แล้วก็ข้าวซอยไก่ของวนัสนันท์ ที่รอคิวนาน แต่อร่อยกว่าข้าวกล่องหน่อยนึง รู้สึกกินไปกินมาก็งง ๆ ว่าฉันกินอะไรไป เหมือนกินมาม่า กับอะไรสักอย่าง ไม่เหมือนข้าวซอยของจริงที่มันต้องเจ้มจ้นอ่า แง เป็นมื้อที่เศร้ามาก ๆ เลย
ระหว่างนั้นเจอคุณไท พูดคุยกันไปหน่อยนึงฮับ
BLOCKCHAIN HELPS BUSINESSES ACCELERATE DIGITAL TRANSFORMATION— KRISSADA RONGRAT, CHIEF TECHNOLOGY OFFICER @ BCI (THAILAND) CO., LTD
เขาเล่าประมาณว่านำ blockchain มาใช้ทำ digital transformation และคนใช้ blockchain ในภาคธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีรายได้มากขึ้นในปี 2030 (หื้ม)
เอา blockchain มาใช้ เพื่อทำให้ข้อมูลน่าเชื่อถือมากขึ้น อะไรงี้
Blockchain Characteristics
- Decentralized: เป็นระบบกระจายศูนย์
- Ledger: transaction history
- Transparency: ทุกคนสามารถ access เข้าไปอ่านข้อมูลได้ว่ามีอะไร และถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
- Secure: เก็บโดยการเข้ารัสบางอย่าง ให้ข้อมูลปลอดภัยมากขึ้น
- Immutable: ไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าไม่ได้ consensus
- Share: สามารถแชร์ให้คนอื่นดูได้
- Irreversible: ไม่สามารถย้อนกลับได้
- Distributed: การกระจายตัวของข้อมูล -> scale node หรือข้อมูล
- Autonomy: blockchain ไม่มีคนกลางเข้ามาบริหารจัดการ และมีการขอ consensus เพื่อ update ข้อมูล
- Open-source: เปิดให้สมาชิก jon ใน block ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
- Anonymity: เก็บว่า token นี้มาทำสิ่งใด โดยไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร
- Ownership / Uniqueness: data ถูก hash ได้ ทำให้ data unique
- Provanance: ตรวจสอบที่มาของข้อมูลได้
- Smart Contracts: โปรแกรมให้คนรันโปรแกรม และให้คนยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบได้
Usecase
เช่นการขนส่ง เดิมใช้เอกสารเยอะ แต่ละประเทศเขาก็มี standard ที่ต่างกัน อันนี้ทำให้มัน scale และมี privacy ดีขึ้น
METAVERSE DEVELOPMENT WITH WEBXR, AR AND NFT— SURASUK OAKKHARAAMONPHONG, TECH COACH @ INFINITAS BY KRUNGTHAI
speaker มาแบบ online เนื่องจากโควิดจ้า เป็น session ที่ลุ้นว่า คุณพี่จะทำทุกอย่างทันไหม ใน 30 นาทีอ่ะ คุณคิดว่าไง ทันไม่ทัน นี่คิดว่า ไม่น่าทัน แหะ
เริ่มการ coding โดยการสร้างโปรเจกต์ใหม่เนอะ
โค้ดทั้งหมดจะอยู่ในนี้จ้า
ในที่นี้จะใช้ WebXR Device API สามารถดู document ได้ที่นี่เลย
เราสามารถดูได้ว่า ตอนนี้ webxr รองรับอะไรบ้าง ก็จะเป็น Chrome ที่รองรับเนอะ ส่วน Safari ยังคงโดนบู้บี้เพราะไม่รองรับ แต่รอบนี้เพื่อนเยอะ เราเลยบู้บี้ได้ไม่เต็มปาก 555
ใช้ library ที่ชื่อว่า three.js ในการทำกราฟฟิคเนอะ
มีการ save ไฟล์ three.module.js
เข้ามาในโปรเจกต์ด้วย
จากนั้น init three.js
อันนี้ได้น้องกล่องเขียวหมุน ๆ
เอ้อออ ใช้ plug-in ที่ชื่อว่า live server ในการจำลอง server ระหว่างที่เราทำเนอะ
จากนั้น ติดตั้ง extension webxr สำหรับบนคอมเนอะ
ของ iOS ให้ใช้ webxr viewer
สำหรับ Android เข้าไปที่แอพ chrome พิมพ์ chrome://flags
และเปิด WebXR Incubations เป็น enabled
เมื่อเข้า localhost มาแล้ว ให้ไปที่ webxr บน DevTool แล้วเลือกเครื่องที่รองรับ AR ฮับ
หน้าเว็บจะเป็นแบบนี้เนอะ
บนมือถือจะลอยอยู่กลางจอเลย
จากนั้นใช้ mindAR
ใช้เว็บนี้ search หา package ที่เราต้องการใช้ได้นะ
แล้วเอากล่องเขียวมาปักไว้กลางหน้า มันจะมี mash แล้วเราใส่ค่าตามพิกัดที่เราต้องการ
จบ session โดยทำไปได้ครึ่งเดียว ส่วน NFT ไม่ทัน แหะ สามารถดู video ของ speaker แล้วดูไปทำไปได้เนอะ
เอาจริงอันนี้เราดูเอามันส์นะ แต่ถ้ามถามว่าคนฟังที่ไม่รู้มาก่อนจะรู้เรื่องไหม จริง ๆ มันมี detail อื่น ๆ อีกเนอะ ด้วยความเนื้อหามันแบบเร่งกับเวลา คนฟังอาจจะตกผลึก และทำตามใน 30 นาทีไม่ทันก็ได้นะ เลยได้แต่ดูอย่างเดียว แล้วว่าง ๆ ค่อยลองทำอีกทีนุง
EVENT DRIVEN ARCHITECTURE 101— KANTZ SUWANNASIT, HEAD OF DEVOPS AND PLATFORM @ SIRIUS
session หลังบ้าน ที่สมองผมได้ไหลอีกหนึ่งรอบ แงงงง
คือการเปลี่ยนจากแบบ SOA -> EDA
EDA มีข้อดี คือ
- service ทำงานเร็ว ทำงานต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา
- เพิ่มของใหม่ไม่สนของเดิม
- scale ได้เรื่อย ๆ
- asynchronous
driving force
- โลก move ไป cloud เปลี่ยนจาก monolith ไปยัง microservice (อ่ะเริ่มคุ้น เพราะมี knowledge sharing ทีมหลังบ้าน)
- ต้องการ realtine เว็บต้องเปิดปิดได้เร็ว ๆ
- IoT
ทุกอย่างเป็น event หมด ไม่ว่าจะเป็น GUI หรือ game engine design เล่นเกมส์งี้
service เหมือนการเชียน method อย่างหนึ่ง
แล้วข้อดีข้อเสีย เราก็ต้องพิจารณาดูด้วย เพราะมันมี trade-off ด้วยอ่ะเนอะ ตามนี้เลย
หลัง session นี้ คนที่นั่งรองข้างเราเม้ากับ speaker อย่างเม้ามันส์
BRIEF FUTURE OF EDGE COMPUTING— KONGKEIT KHUNPANITCHOTE, PLATFORM ENGINEER @ BIRKL
เป็น session ที่เหมือนยกงาน Hacktoberfest Thailand 2022 เลยแหะ มีน้อง ๆ จาก BIRKL มากัน เจอน้องลีโอ น้องกัสเบล และน้องคนอื่น ๆ มีคุณไท คุณเวิล์ด มาฟังด้วย คือรวมคนรู้จักมาฟังกันอ่า แล้วเป็น session ที่สนุกมากเลยหล่ะนะ อ้ะมีภูมิอีกคนด้วยนี่นา ไป ๆ มา ๆ จะเป็นงานโรงเรียนไม่ได้นะเฮ้ยยยย (เหมืนดูลูกขึ้นเวทีเฉย งอง)
งานนี้ไม่ได้ใส่ cosplay มา อยากให้ใส่มาก็แจ้งได้ 555555
session นี้เป็นการย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่ายขึ้นเนอะ
ถ้าอยากฟังแบบละเอียด ไปดูคลิป 9arm เลยจ้า :armWeed:
เมื่อสมัยก่อน เวลาท่องโลกอินเตอร์เน็ต เราจะพบกับ web popup มากมาย แต่เดี๋ยวนี้มี loading ก่อน คนไม่ชอบ ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี แล้วเราจะจัดการยังไงนะ ?
เหตุน่าจะเกิดจาก latency ของแต่ละ platform
เวลาเฉลี่ยที่คนจะ reaction อยู่ที่ 150 - 300 ms
อันนี้ตัวอย่างเว็บที่คุณออมทำ ใช้เวลาในการ waiting for server response อยู่ที่ 68.51 ms ซึ่งไวมากเนอะ ไวกว่า reaction ที่มนุษย์สัมผัสได้
แล้วเรา deploy server กันยังไงนะ ?
ใช้ VPS Server scale ไป global ทำให้ลด latency และได้เงินด้วย เช่น AWS
แต่เราก็ไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้น แล้วจะทำยังไงดีหล่ะเนี่ย ?
ใช้ Edge Computing ก็คือจัด server เล็ก ๆ จำนวนมาก เป็น node และกระจายไปทั่วโลก
ตัวอย่าง
- Google Cloud Platform ใช้ Edge Computing เพราะเรื่อง low latency
- ใช้ในเรื่อง automobile ตรวจจับไม่ให้เราขับรถชน
- ใกล้ตัวคุณออมคือเว็บ Hifumi ที่เขาทำ เคยอ่านโพสที่เป็น tech stack มาแล้ว เว็บนี้เป็นเว็บ H ในตำนาน อ่านแล้วงงหล่ะสิว่าคืออะไร อ่ะปล่อยให้งงต่อไป เอาเป็นว่าไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชนก็แล้วกัน แล้วมันเฉพาะกลุ่มอ่า เราเคยเปิดเว็บนี้แปปนึง ปิดแทบไม่ทัน 555
- Vercel มี Edge API Node มากมาย ตัว Edge เป็น small server ใช้ Raspberry Pi 1MB ก็ได้นะ
จริง ๆ มันเป็นการตัด function จริง ๆ แล้วรันบน Edge Server และ scale ได้เร็ว หรือมากที่สุด เท่าที่ทำได้ เหมือน copy ตัวเอง แบบนี้
แล้วมีเจ้าไหนใช้บ้างนะ ?
อันนี้ฝั่งหลังบ้าน
อันนี้ฝั่งหน้าบ้าน
note:
- ตัว Firebase แอบมี overhead และสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
- Cloudflare Pages อันนี้ผูกกับ function
Concept
Edge Computing ยัดการประมวลผลให้เข้าใกล้ผู้ใช้มากที่สุด เอาบาง function มารันบนเครื่องแทน ถ้าทำบนเครื่องไม่ได้ ค่อยส่งขึ้น server และให้ server ส่งกลับมา
เช่น ลองปิด internet บน iPhone แล้วบอกให้ Siri เปิด Twitter ให้หน่อย มันก็เปิด Twitter ให้ (ถ่ายรูปไม่ทัน ซึ่งถ่ายไม่ทันน่าจะดีแล้วไหมนะ เพราะตอนเปิดจอ ดันเป็น Twit ที่โชว์รูปสักอย่าง แหะ)
แล้วก็อันนี้ cat-analyze เป็นการ track ว่า วัน ๆ น้องแมวทำอะไรบ้าง ติด Tensorflow Lite บนเครื่อง เหมือนเป็น eage machine เล็ก ๆ เนอะ
ice-cube เป็นเครื่องคอมส่งขึ้นไปบนจรวด ส่งข้อความระหว่างสถานีอวกาศ
ถ้าใกล้ตัวอีกนิดก็น่าจะเรื่อง blockchain เนอะ (เช่น เรื่อง IPFS ที่เราพูดไปใน session ของเรานั่นแหละ คิดภาพนี้ออกทันที หรือ node ต่าง ๆ ในระบบเนอะ) แล้วก็ BitTorrent ที่ concept แบบนี้แหละ ซึ่งมีมานานแล้ว ในสไลด์ใช้รูป logo ของ uTorrent ซึ่งเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ซึ่งนี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใครอยากรู้ไปถามน้อง ๆ BIRKL น่าจะเก็ทกว่า 555555555
แล้วเราต้องใช้ Edge Computing เลยดีไหม ?
ไม่ต้องใช้ทุกอย่างบนโลกในนี้ บางอย่าง user มันก็รอได้นะ เช่น midjourney บน discord เรารู้ว่า AI ใช้เวลาในการทำรูป ทุกคนเข้าใจได้
ตัวนี้คุณออมแนะนำ ชื่อเว็บ deploys.app ใครสนใจ ลองไปตำดูได้
แล้วก็ช่วงนี้หลาย ๆ บริษัท เริ่มมาเปิด region ในไทย เช่น Google Cloud, AWS, Huawei Cloud ทำให้เราไม่ต้องไปเสีย latency ที่ประเทศอื่นแล้ว หวังว่านักพัฒนาจะได้ทำอะไรสนุก ๆ มากขึ้นงี้
EXPLORE, EXTEND, EXPAND— PAKORN LEESAKUL, CEO & FOUNDER @ FINEMA
เข้ามาหาที่นั่งฟัง session สุดท้ายของงานเฉย ๆ แบบไม่รู้จะไปไหนแล้ว แหะ ๆ
อันนี้เป็นการเล่าเกี่ยวกับบริษัทเขาแหละ เขา extend โดยการ join program ที่ relate กับ business ของบริษัท ทำให้คนอื่น ๆ เห็นชื่อบริษัทของเรา (เหมือนสร้าง awareness อ่า) แล้วเขาสนใจว่าบริษัทนี้ทำเกี่ยวกับอะไรบ้าง เลยทำให้ได้ลูกค้าแหละ
เราคิดว่า การที่หลาย ๆ บริษัทออกมาสนับสนุน tech community หรือไปเป็น partner ให้กับอะไรสักอย่าง ก็เป็นการโปรโมตบริษัทนะ ทำให้คนมางานจำชื่อบริษัทได้ นอกจากนั้นก็ได้ลูกค้า หรือรีครูทคนเข้ามาทำงานได้ด้วยอะนะ
THE NATURE OF SOFTWARE DEVELOPMENT— RAWITAT PULAM, MANAGING DIRECTOR @ CODE APP
session สุดท้ายของงาน คือไม่รู้จะไปไหนแล้ว แล้วพอเห็น profile speaker คร่าว ๆ ที่เป็นเขาเปิดคอร์สสอนคณิตศาสตร์สำหรับโปรแกรมเมอร์ ก็เลยอยากรู้ว่า session นี้มันจะเป็นประมาณไหนเนอะ ก็เป็นการเล่าเรื่องที่ใช้สูตรฟิสิกส์ ประกอบกับการทำ software อ่ะเนอะ
เรื่องน่ากลัวที่หลาย ๆ คนเคยเจอ เช่น ตัวอย่าง requirement นี้ และทำการ estimate และเราคาดเดาอะไรได้บ้าง
สิ่งที่ hidden คือ software ที่เราจะทำ, manpower แรงงานคน มันจะมีผลต่อ budget, time
- แล้ว S และ S' ต่างกันยังไง
Physics: ระบบ (system) -> ภาวะ (state) + อำนาจ (forces)
- as it is now / next delivery
- force อะไรที่ influence กับ software บ้าง
- simple dynamical system: ระบบที่ observe stage ได้
มีปัญหาอะไรของสมการ S' = D(r,t)
เหมือนกับว่า สมการนี้ แม่นยำแค่ไหน S = vt
Accurate ด้วยเงื่อนไข
- dt ที่สั้นที่สุด ที่เป็นไปได้ เช่น สองเดือนนี้มีอะไรเสร็จบ้าง อาจจะเปลี่ยนเป็น วันนี้มีอะไรเสร็จบ้าง หรือชั่วโมงข้างหน้าอะไรจะเสร็จบ้าง
- อะไรเป็น influence change ใน software หล่ะ ? เปิดจาก requirement นี้ เราได้จากใคร
จากสมการ R = [Sol(P)] + Use(S)
Use(S) คือ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เกิดจาก software แรกที่เราได้
next delivery -> S = Dev(R) คือมันจะซ้อนค่าไปเรื่อย ๆ แล้วค้นพบว่า มันมี usage feedback loop อยู่
วิธีการวัดคุณภาพของ software
ตอนเราอ่านโค้ด เรากว่า WTF กับโค้ดของเรา กี่ครั้งต่อนาที นั่นคือ entropy หรือความยุ่งเหยิงในระบบนั่นเอง
อันนี้ตัวอย่างเนอะ อย่างโยนเหรียญ ถ้าเรารู้เงื่อนไขการโยนหัวก้อย เราจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอ่ะเนอะ
เราต้องการ low-entropy software เขาก็โชว์โค้ดตัวอย่างสั้น ๆ เนอะ สรุปก็คือโค้ดที่เราอ่านรู้เรื่องว่าโค้ดนี้ทำอะไรเนอะ
ประเด็นคือ คนทางบ้านเขาเห็นสไลด์ชัด แต่หน้าบ้าน ด้วยความที่พื้นหลังเขาเป็นสีดำ
จบงานโดยคุณปั้ปกล่าวจบงาน ก็คืองานจะลดสเกลลงหล่ะรอบหน้า จัดปีละครั้งอะไรงี้ จัดที่ทะเลเดือนพฤษภาคม เวลา 9:00 - 24:00 น่าจะเป็นที่บางแสน หรือพัทยา รอเขาประกาศอีกทีเนอะ
ที่ลดสเกลลง เพราะรอบนี้อาจจะดูแลทุกคนไม่ทั่วถึง ก็ยังดีที่เขารู้แหละเนอะ
แบ่งเนื้อหาเป็นสำหรับนักเรียนนักศึกษา กับคนทำงาน อย่างละ 10 sessions พอจบสัมมนาเสร็จ networking ยาว ๆ ต่อไป
ปีหน้าจะจัดอะไร ก็จะประมาณนี้เนอะ
แล้ว speaker ก็มาชักภาพร่วมกัน ซึ่งน่าจะรอรูปจริง ๆ จากงาน อันนี้ไปเจอมาอีกทีนึง
แล้วคนที่ยืนข้าง ๆ เราตอนถ่ายรูปเขาสวยมาก ไป ๆ มา ๆ เอ๊ะคุณตั๊ก เพจคริปโตตัวแม่นี่นา เป็น MC ห้องที่เราพูดด้วย คือเขาสวยมากกกกกๆๆๆๆๆๆอ่ะทุกคน ><
ก็จบกันไปแล้วสำหรับงาน Dev Mountain Tech Festival ซึ่งรอบหน้าถ้าทีมไม่มา ไม่ไปแล้ว เหนี่อย คือ ไม่ค่อยเจอคนแบ่บสนิท ๆ อะ บวกกับแค่ระยะเวลาที่ส่งหัวข้อให้คุณปั้ป ยันวันงานจริง เราเองก็ไม่ได้รู้อนาคตล่วงหน้าด้วย ว่ามีงานอื่น ๆ เข้ามา แล้วมันเร่งกว่า ก็เลยไม่รู้อนาคตในปีหน้าจริง ๆ ว่าจะได้ทำอะไรบ้างด้วยแหละ
เอาจริง ๆ จบงานมันก็โล่งแหละ แต่งานอื่นยังมีอีก ไม่รู้เขาจะมาตามเมื่อไหร่ 5555555
แล้วบล็อกจบแล้วหรอ ยังดิ แปปนึง
เดินทางกลับ
เดินทางกลับไฟล์ทเดียวกับทาง HR เช่นเคย และไฟล์ทค่อนข้างเช้า คือ 9:05 พอถึงสนามบินเลย checkin ก่อน และน้าพาไปทานอาหารเช้าที่ครัวการบินไทย
แล้วก็ได้ของฝากจากร้านวนัสนันท์ เป็นไส้อั่ว และนํ้าพริกแดง ซึ่งอร่อยมาก ยํ้าอีกหนึ่งรอบว่าอย่าซื้อข้าวซอยไก่ มันไม่อร่อยเลย 55555555
เมื่อทานเสร็จแล้วก็เข้าไปรอข้างใน gate คนเยอะพอสมควร สักพักเครื่องมา ก็ต่อแถวขึ้นเครื่องกันไป
ข้าวเช้ารอบที่สองได้ข้าวมันไก่ย่างมา ก็อร่อยดีนะ
และกลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ ในเวลาถึงก่อนกำหนด คือสิบโมงกว่า
บล็อกนี้ก็จบลงประมาณนี้แหละ
เนื่องจากงานนี้มันแบ่ง 3 ห้อง เลยแปะบล็อกนี้เผื่อใครอยากรู้ว่า session ห้องอื่น ๆ เขาพูดอะไรบ้างอ่ะเนอะ
ส่วนบรรยากาศงาน เราทำเป็น Vlog คร่าว ๆ ไว้
ติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ และทุกช่องทางโดเนทกันไว้ที่นี่เลย แนะนำให้ใช้ tipme เน้อ ผ่าน promptpay ได้เต็มไม่หักจ้า
ติดตามข่าวสารแบบไว ๆ มาที่ Twitter เลย บางอย่างไม่มีในบล็อก และหน้าเพจนะ